วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รีวิว Android App สำหรับเด็กจาก BR3SOFT

แนวคิดเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัวด้วยการเขียนให้ลูกสาวเล่น นำไปสู่การแบ่งปันให้กับเด็กๆ BR3SOFT เริ่มต้นด้วยการพัฒนา App แนว Flash Card เพื่อให้เด็กมีความคุ้นเคยกับ ศัพท์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ต่อยอดไปสู่เกมส์ ทายคำศัพท์ ที่เด็กอาจเคยเล่นจริงในห้องเรียนกับคุณครู มาแบ่งปันประสบการณ์และสิ่งดีๆ ให้เด็กๆและเพื่อนๆ น้องๆ นักพัฒนาที่พอมีเวลาว่างมาอ่าน และตั้งใจทำสิ่งดีๆ ให้เด็กๆ กัน

App ตัวแรก "ศัพท์เด็ก 3+" (Kids Vocab)

รายการคำศัพท์ 200 กว่าคำที่เด็กเล็กควรรู้จักก่อนเข้าโรงเรียน แบ่งคำศัพท์เป็น 14 หมวด: สมาชิกในครอบครัว, ส่วนต่างๆของร่างกาย, อาชีพที่ควรรู้จัก, สถานที่ต่างๆ, สิ่งที่อยู่ในห้องนอน, ยานพาหนะ, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ดอกไม้, ผัก, ผลไม้, อาหาร, สัตว์ต่างๆ, สิ่งรอบตัว, และคำเชื่อมที่ใช้บ่อย
*** App ตัวนี้ได้แรงบันดาลใจจากน้องเรนนี้ ลูกสาวคนเล็กครับ***

คุณสมบัติหลัก
+ มีภาพพร้อมเสียงบรรยาย สามารถกดฟังคำศัพท์ ไทย-อังกฤษ ของแต่ละคำได้
+ สามารถกดที่ภาพใหญ่ เพื่อฟังคำบรรยายที่เป็นประโยชน์ที่เน้นสอนให้เด็กเป็นเด็กดี
+ ตั้งค่าผู้ใช้ เด็กหญิง เด็กชาย เพื่อเปลี่ยนสีของโปรแกรม (เด็กชาย: สีฟ้า, เด็กหญิง: สีชมพู)

ติดตามดาวน์โหลดได้ที่ http://play.google.com/store/apps/details?id=com.br3.kidsword


App ตัวที่ 2 "ฉันคืออะไร?" (What Am I)


เกมส์ปริศนาคำทาย "ฉันคืออะไร?" ที่มีเสียงคำถาม ให้เด็กฝึกใช้ความคิดและเลือกคำตอบที่ถูกต้อง โดยเด็กสามารถฟังเสียงตัวช่วยเพื่อประกอบการตัดสินใจตอบ สามารถเพิ่มระดับความยากได้โดยการปิดรูปภาพตัวช่วย (สำหรับเด็กโต) คุณพ่อ-คุณแม่ และคุณครูสามารถเล่นกับเด็กๆ ได้


ตัวอย่างคำถามเช่น
"เธอปั่นฉันเที่ยวเล่นไปที่ต่างๆ ฉันคืออะไร?"  --> คำตอบ "จักรยาน", "มอเตอร์ไซต์", "เกวียน", "รถม้า"
คำตอบคือ? --> จักรยาน  ...(ถ้าตอบผิด จะได้หน้าบึ้งแบบเพิ่มระดับความเครียด ถ้าตอบถูกได้หน้ายิ้ม)

*** App ตัวนี้ได้แรงบันดาลใจจากน้องเรย์ พี่สาวของเรนนี่ที่จำจากคุณครูที่โรงเรียนมาทายเล่นกับคุณพ่อ***

คุณสมบัติหลัก
+ เด็กๆ จะได้สนุกกับคำถามทั้ง 4 หมวดคือ ร่างกาย สิ่งต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานพาหนะ และแบบรวมทุกหมวด
+ ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าจำนวนข้อที่ต้องการทำได้เช่น ทำทีละ 5, 10, 15, 20, 25, 30ข้อ หรือทำทั้งหมด
+ สามารถตั้งค่าการซ่อนรูปภาพคำตอบ เพื่อให้ยากขึ้นสำหรับเด็กโต (ใช้การฟังเสียงอย่างเดียว)
+ สามารถบันทึกคะแนนในการทำแต่ละครั้ง แยกตามชื่อผู้เล่น และหมวดคำทาย และกลับไปดูลำดับคะแนน (High Score ที่ทำแข่งกัน)
+ ข้อสอบจะสุ่ม ลำดับของคำถาม และลำดับของการตอบ ทำให้การทำแต่ละครั้ง ความยาก-ง่าย จะแตกต่างกัน
+ สามารถแชร์คะแนนให้เพื่อนๆ ผ่านอีเมล์ หรือ เครือข่ายสังคมเช่น Facebook, Line

ติดตามดาวน์โหลดได้ที่ http://play.google.com/store/apps/details?id=com.br3.whatami


คุณพ่อ-คุณแม่ สามารถพบกับ App ดีๆสำหรับเด็กเล็ก จาก BR3SOFT ได้ที่ Play Store แล้ววันนี้

https://play.google.com/store/search?q=BR3SOFT&c=apps


คำค้นแนะนำใน Play Store:  "ศัพท์เด็ก" , "ฉันคืออะไร", "BR3SOFT"  (ตัวใหญ่หมดนะครับ)

** ไว้มีเวลาจะมาเขียนเรื่อง วิธีเขียน App เทคนิคการใช้เครื่องมือใน Internet ในการสร้าง Content แบบประหยัดเวลา ให้กับ App รวมไปถึงเทคนิคการทำรายได้จาก App การโปรโมทและการวิเคราะห์ ให้กับผู้ที่สนใจและมีเวลาว่างในการสร้าง App ดีๆให้เด็กไทยกันครับ มาช่วยกัน ^_^ "

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Kids Word แอพพลิเคชั่น Android สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน

โปรแกรม Kids Word ประกอบด้วยคำศัพท์ 257 คำ สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน (อายุ 1-3 ขวบ) ตามผลการสำรวจคำที่เด็กไทยก่อนวัยเรียนควรรู้จัก บวกกับที่ผู้พัฒนาเพิ่มเข้าไปอีกบางส่วนแบ่งตามหมวดหมู่ดังนี้

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.br3.kidsword

Version แรก
1. ครอบครัวของฉัน    15 คำ
2. ร่างกายของเรา       21 คำ
3. อาชีพที่ควรรู้จัก      16 คำ
4.สถานที่ต่างๆ           13 คำ
5.ห้องนอนของฉัน       11 คำ
6. ยานพาหนะของฉัน    8 คำ
7.เครื่องใช้ไฟฟ้า        10 คำ

การ Update ครั้งที่ 2 (กลางเดือนสิงหาคม 2556)
8.ดอกไม้แสนสวย        7 คำ
9.ผักมีประโยชน์         13 คำ
10.ผลไม้น่ากิน           22 คำ
11.อาหารแสนอร่อย    12 คำ
12.สัตว์โลกน่ารู้          24 คำ

การ Update ครั้งที่ 3 (ปลายเดือนสิงหาคม 2556)
13.สิ่งต่างๆรอบตัวเรา   24 คำ
14.คำเชื่อมที่ใช้บ่อย    61 คำ

ใครที่มีลูกหรือหลานในวัยก่อนเข้าอนุบาลแนะนำใหดาวน์โหลดไปให้เด็กใช้ครับ หรือคุณครูเตรียมอนุบาลสามารถติดตั้งให้เด็กเล่นได้ โดยเด็กสามารถดูภาพ กดที่ปุ่มคำศัพท์เพื่อฟังเสียงภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมถึการกดที่รูปภาพพื่อฟังเสียงคำอธิบายภาพ ทำให้เด็กได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนาน

หมายเหตุ:
โปรแกรมนี้พัฒนาเพื่อให้ลูกสาวได้เล่นเพื่อพัฒนาทักษะ จึงมีเจตนาในการเผยแพร่ฟรี (แอบติดโฆษณาเป็นค่าขนมให้เด็กน้อยด้วย ยังไงช่วยกดกันด้วยนะครับ ^_^) หากมีเนื้อหาภาพ และข้อความส่วนหนึ่งส่วนใดที่ไม่ถูกต้องท่านสามารถแจ้งมาได้ครับ เพื่อพัฒนาให้เด็กไทยได้มีโปรแกรมฝึกฝนทักษะที่ถูกต้องด้านวิชาการและสนุกสนานในการเล่น

และหากเกิดปัญหาในการติดตั้งหรือการแสดงผลไม่ถูกต้องเนื่องจากรุ่นของโทรศัพท์หรือแท็ปเล็ต สามารถแจ้งมาได้ครับเพื่อที่จะได้ปรับแต่งให้สามารถใช้งานกับอุปกรณ์ของท่านได้

ภาพที่ใช้ประกอบเป็นภาพที่ดึงมาจากอินเตอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ หากพบว่ามีภาพส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นการละเมิดลิขสิทธ์ของท่านหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง สามารถแจ้งนักพัฒนาเพื่อให้ปลดออกและเปลี่ยนเป็นภาพอื่นได้ครับ (ถ้าจะกรุณาสนับสนุนภาพเพื่อการศึกษาของเด็กๆ ก็ยินดีครับ)

Kids Word by Vittayasak Rujivorakul แอฟฟรีที่ผู้ปกครองและคุณครูควรติดตั้งเพื่อสร้างพัฒนาการให้กับเด็กๆของท่าน

สำหรับโรงเรียนหรือคุณครู อนุบาลและประถม ที่มีเนื้อหา (ที่ไม่ละเมิดลิขสิทธ์ของผู้อื่น) ต้องการอยากทำเป็น App บน Android หรือ iOS ถ้าสนใจก็ติดต่อมาได้ครับที่ 08-1494-3216 หรือ email: vittayasak@gmail.com ยินดีทำให้ฟรีเพื่อการศึกษาของเด็กๆ (ถ้าเป็น อนุบาล 2 กับ ป.3 จะทำให้เร็วหน่อยเพราะทำให้ลูกสาวด้วยครับ ^_^)

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เป็นบัณฑิต ต้องคิดไกล

และแล้วก็หนี่ไม่พ้น กฏ 7 วัน พอกลับเชียงรายก็ไม่ค่อยได้มีเวลาเขียนเลย วันนี้ถือเป็นวันดีเนื่องจากพรุ่งนี้จะเป็นวันพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่เชียงราย เลยถึงโอกาสกลับมาเขียนอีกรอบ เพื่อเสนอแง่คิดให้กับ ศิษย์รักทุกท่าน ที่ผ่านมาอ่าน

หลังจากผ่านความลำบากยากเข็นของชีวิตปริญาตรี สุข ทุก เศร้า เคร้าน้ำตา ดราม่าบ้าง เฮฮาบ้างตามประสา (ทำงานส่งข้ามคืน, ปั่นโปรเจ็คก่อน present ฯลฯ) ตอนนี้หลายๆคนกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความสุข ร่วมกับเพื่อนๆ พี่ๆ และครอบครัว ที่มาร่วมแสดงความยินดีครั้งหนึ่งในชีวิต ผมเองในฐานะอาจารย์ที่คอยเฝ้ามองดูพัฒนาการของพวกเราตลอดมาก็พลอยชื่นใจไปด้วย เลยอยากจะฝากข้อคิดและแง่คิดไว้ให้บัณฑิตใหม่ทุกท่านด้วยละกันนะ

สำหรับคนที่ทำงานแล้ว เลือกเดินในสายอาชีพ
ส่วนใหญ่การรับปริญญาจะทำหลังจากจบแล้วประมาณ 1 ปี หลายๆคนคงทำงานกันเป็นหลักแหล่งแล้ว บางคนอาจจะเปลี่ยนที่ทำงานไปหลายที่แล้วก็ได้ สิ่งที่อยากจะบอกคือ "ทำงานครั้งแรกของคุณให้ดีที่สุด แล้วมันจะเป็นใบเบิกทางที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ"  หลายคนมองงานที่แรกเป็นทางผ่าน ทดลอง ไม่ใช่ก็เปลี่ยน ... แต่นั่นจะเป็นบททดสอบทั้งในด้าน ความอดทน ความสามารถในการปรับตัว ความสามารถในการเรียนรู้ และการเข้าสังคมคนทำงาน ... ซึ่งไม่มีสอนในห้องเรียน ดังนั้นทำมันให้ดีที่สุด แล้วการสมัครงานที่ใหม่ของคุณจะไม่ต้องใช้ใบ Transcript อีกเลย

สำหรับคนที่เลือกการเรียนต่อ (เป็นอาชีพ)
คงมีหลายเหตุผลที่หลายๆ คนเลือกเรียนต่อในระดับปริญญาโท สิ่งที่อยากจะบอกคือ "อย่าเรียนอย่างเดียว ให้หาความรู้และประสบการณ์ควบคู่ไปด้วย" เพราะไม่ว่าจบมาแล้วคุณจะเลือกทำงาน หรือไปเป็นอาจารย์ หรือประกอบกิจการส่วนตัว ... เราไม่สามารถใช้แค่สิ่งที่เรียนมาใช้ในการทำงานได้ ... หากเป็นไปได้และไม่เหนื่อยจนเกินไป ให้ลองพยายามหาอย่างอื่นทำไปด้วย เช่นการรับ Job ที่เกี่ยวกับสาขาที่เราเรียน การเข้าไปช่วยงาน Advisor (อาจจะในฐานะผู้ช่วยวิจัย หรือทำงาน project) สิ่งเหล่านี้จะเป็นการเติมเต็มประสบการณ์ให้กับเราเป็นอย่างดี

อย่าลืม.. งาน กับ การเรียน ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
ยังมีสิ่งสำคัญอีกมากมาย ที่เราต้องคิดถึงและให้ความสำคัญ ความรัก ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้มีพระคุณ รวมไปถึงการวางแผนระยะยาวให้กับชีวิต อย่าบ้างาน และบ้าเรียน จนลืมสิ่งเหล่านี้ เพราะถ้าคุณลืมพวกเค้า ... พวกเค้าก็ลืมคุณได้เหมือนกัน ... และสุดท้ายสิ่งที่ทำไปทั้งหมด ผลอาจจะเป็นแค่ความว่างเปล่าก็ได้

ใช้เงินอย่างรู้ค้า รู้จักการเก็บออม และการลงทุน
ผมเจอมาหลายคน ทำงานเป็น 10 ปี ถามดูอีกที มีแต่บ้าน รถ ลูกน้อย และหนี้สินกองโต (จากสิ่งที่ซื้อๆ มา)  บางคนยังต้องกลับไปรบกวนพ่อแม่อยู่เลย บางคนมีหน้าที่การงานที่ดี ได้เงินเดือนเยอะมากถ้าเที่ยบกับคนอื่น แต่ก็ยังรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต (ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเก็บเงินได้เกิน 30% ของรายได้ ถ้าตั้งใจจะทำ)... ดังนั้น ผมแนะนำให้เริ่มศึกษา การวางแผนชีวิต และการลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่เดือดร้อนครอบครัวในวันข้างหน้า .. เลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวคุณ การเก็บออม การซื้อกองทุน การซื้อหุ้น VI การลงทุนเปิดกิจการ การร่วมทุน การซื้ออสังหาแล้วปล่อยเช่า ... ลองศึกษาให้ดึแล้วคุณจะพบช่องทางที่เหมาะกับคุณเอง ถ้าใครวางแผนเกษียณจากงานที่ต้องทำให้คนอื่น มาทำงานที่เราคิดเองทำเองแล้วละก็ ต้องยิ่งรีบคิดให้หนัก อย่าปล่อยเวลาให้ศูนย์เปล่า เพราะการศึกษาเรื่องการลงทุน คือการลงทุนชนิดหนึ่ง

ชีวิตเท่านั้น สำคัญที่สุด
ถ้าคุณอยากมีชีวิตยาวๆ ควรใส่ใจเรื่องสุขภาพให้มาก หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์  ทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ไว้เผื่อยามฉุกเฉินจะได้ไม่เดือดร้อนมาก อย่าโหมงานจนเกินควร ใช้ชีวิตให้สมดุลย์ กินบ้าง เที่ยวบ้าง ตามสมควร แล้วชีวิตจะยืนยาว

มีเหลือ ให้เผื่อแผ่
เมื่อคุณมีเหลือแล้ว ให้รู้จักเผื่อแผ่คนอื่นบ้าง แม้สิ่งที่ได้รับกลับมาจะไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง แต่มันก็เป็นความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นที่เค้ายังไม่ได้โอกาสเหมือนเรา ... มีเงินเหลือ ก็ให้รู้จักแบ่งปัน ลองดูพวกการบริจาคทุนการศึกษา ให้กับน้องๆ ที่เค้าไม่มีโอกาส ... มีความรู้เหลือ ก็ให้รู้จักเผยแพร่ ความรู้เป็นสิ่งพิเศษ ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ เราจะได้รับมุมมองและแง่คิดใหม่ๆ เสมอเมือเราสอน หรือให้ความรู้ ... พวกพี่ๆ ทีจบไป ทำงานแล้ว อาจจะรวมตัวกันกลับมาให้ความรู้กับน้องๆ เพื่อที่จะได้เดินถูกทาง และสร้างโอกาส

...
ผมรู้สึกดีใจ และภูมิใจ กับทุกคนที่สามารถฟันฝ่า มาจนถึงจุดนี้ได้ ขอให้ช่วงเวลาต่อจากนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งโอกาส และการแสวงหา ให้ได้พบกับคนดีๆ สิ่งดีๆ และเจริญยิ่งด้วย สติ ปัญญา และการกระทำครับ

Aj.Bee

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

วัยเด็ก วันเด็ก เกินเด็ก

เอานะ เขียนตามเทศกาลกันหน่อย ใกล้วันเด็กกันแล้วหลายๆ คนที่เลยวัยเด็กคงจะหวนคิดถึงตอนที่เป็นเด็กได้ว่ามันสนุกขนาดไหน อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทุกสิ่งสัมพันธ์กัน เด็กในวันนี้ จะต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า (อืมม แล้วพวกเราจะเรียกว่าผู้ใหญ่ที่ดีได้รึเปล่าน้าาา)

เมื่อครั้งฉันยัง "วัยเด็ก"
  ยังจำกันได้ สมัยเด็กๆ วันเด็กเคยสนุกกว่านี้ (แน่ละ ก็ตอนนั้นเป็นเด็ก เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เด็กแล้วนิ ทำผิดอะไรก็ไม่มีใครว่า แค่ดุนิดส์หน่อยก็จบ) นึกไปถึงสมัยที่ เดินสายขอเงินวันเด็กตามบ้านญาติๆ แล้วเอามาซื้อขนมกับของเล่น ... ตอนเด็กผมเคยหนีแม่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน เล่นซนๆ แผลงๆ ก็เยอะ บางครั้งเจ็บตัวกลับมา บางครั้งเกือบเอาชีวิตไม่รอด (ใครมีลูกมีหลานถ้ายังว่ายน้ำไม่เป็น อย่าปล่อยออกไปเล่นน้ำกับเพื่อนนะครับ อย่างผมนี่เกือบจะไม่ได้มานั่งเขียน Blog แล้ว) กลับมาโดนดุบ้าง โดนตีบ้าง แต่ก่อนก็ไม่เข้าใจ โกรธพ่อกับแม่บ้าง พูดจาไม่ดีใส่บ้าง ... แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโกรธ (ท่าทางโกรธไปงั้นแหละ แต่จริงๆใจดี) ... วันนี้ต่างออกไปตรงที่ว่า ผมมีลูกแล้ว (ลูกสาวด้วย ซนอีกตะหาก) เลยซึ้งเลยว่าเมื่อก่อน พ่อกับแม่ ทำไมต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชตลอดเวลา ... เพราะอยากให้เราได้ดี อยากให้เราเป็นคนดี ... ใครที่ยังไม่มีครอบครัว(ภรรยา/สามี และลูก) ก็ไม่เป็นไรแต่ขอให้สำนึกไว้ว่า ... ใครที่เลี้ยงดูเรามา กว่าจะมาเป็นวันนี้ ... ใครที่ให้ความหวังและกำลังใจเสมอยามเมื่อเราท้อแท้ ...   ในสายตาของพ่อ แม่ ลูกยังเป็นเด็กน้อยที่น่ารักอยู่เสมอแหละครับ ... อาศัยโอกาสวันเด็ก ทำตัวเป็นเด็กบ้าง กลับบ้านไปอ้อนพ่อกับแม่ ให้เหมือนกับตอนเป็นเด็ก ก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะครับ ^_^

"วันเด็ก" วันแห่งการให้ และ ได้รับ
    ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่อ่านบทความนี้ ส่วนใหญ่คงเลยวัยเด็กกันทั้งนั้น (ถ้าใครยังเป็นเด็กอยู่ก็ขออภัย) ... เด็กทำให้โลกนี้สดใส สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับทุกคน ในฐานะที่อยู่มาจนเป็นผู้ใหญ่แล้ว (ไม่อยากใช้คำว่า แก่) เราได้ทำอะไรให้เด็กๆบ้าง เพื่อให้รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนั้นยังคงอยู่ต่อไป ... บางคนเห็นเด็กๆ เดินมาหาวันเด็ก รีบเดินหลบ (มันมาไถเงินอีกละ) ... บางคนวันเด็กอยู่บ้านนั่งบ่นอุบอิบ เซ็งรถติดว่ะวันไรเนี้ย ... แต่บางคนมองต่างออกไป ออกจากบ้านไปช่วยทำกิจกรรม จัดงานวันเด็ก ไม่ว่าจะเป็นกับหมู่บ้าน องค์กร สถานศึกษา จะมากจะน้อย ช่วยออกแรง แจกของ ร้องเพลง ตามศักยภาพของแต่ละคนที่มี (สมัยเรียนผมช่วยจัดงานวันเด็กทุกปี ได้ทำกิจกรรมสนุกๆ ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มีความสุขครับ) ... ผมว่ามันจะเป็นสิ่งดีๆ ที่เราทุกคนทำได้ และจะจดจำความรู้สึกดีๆ ของการให้  คนรับก็ดีใจ คนให้ก็ยินดี จะมีอะไรที่ทำได้ง่ายกว่านี้

เมื่อ "เกินวัยเด็ก" ทำตัวยังไงดี
  พวกเราส่วนใหญ๋ก็เกินวัยเด็กกันไปแล้ว(ย้ำจังนะ) หน้าที่ตอนนี้คือต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นพี่ที่ดี พ่อแม่ที่ดี ให้กับคนรุ่นหลัง ... ควรอยู่และเป็นไป ตามวัย และฐานะ (บางคนตัวเป็นผู้ใหญ่ ใจเป็นเด็ก เอาแต่เล่น ไม่รู้จักโต) ... รู้จักสงเคราะห์ และสนับสนุนเด็กน้อยที่ยังขาดโอกาส (การสนับสนุนทุนการศึกษากับเด็กๆ ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ได้บุญด้วย) ... ควรแสวงหาความก้าวหน้า สร้างความภาคภููมิใจ ถ้าพ่อแม่ พี่ชาย พี่สาว เป็นแบบอย่างที่ดี ลูกๆ น้องๆ ก็จะภูมิใจและเห็นแบบอย่างที่จะสามารถเจริญรอยตามได้ ...ในฐานะของผู้ใหญ่ (ไม่ถึงขั้นกำนัน หรือนายกก็ทำได้) เราจะทำอะไรให้กับสังคม และประเทศ ของเราบ้าง คิด สร้าง ทำ กระจายความคิดดีๆเหล่านั้นให้กับคนรอบข้าง และเด็กๆ ของพวกเรา เพื่อสังคมของเราจะได้น่าอยู่มากขึ้นและคงไว้ซึ่งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันสดใสต่อไป


คิดสิ่งใด ทำสิ่งไหน ขอให้รู้มีคนคอยดูความสำเร็จของคุณอยู่
การเป็นคนดี ต้องได้รับการปลูกฝังจากแบบอย่างที่ดีด้วย

Aj.Bee



วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

"รัก" ไม่ได้ทำให้คนตาบอด

หัวเรื่องอาจดูเหมือนแนววัยรุ่นไปนิดส์ แต่สิ่งที่ผมอย่างจะบอกคือ ความรักในรูปแบบของคนต่อคน คนต่อกลุ่มเพื่อน ต่อสังคม ต่อสิ่งรอบตัว แล้วคุณจะรู้ว่าการที่คุณมีคนที่รัก มีใครให้รัก นั้นสำคัญขนาดไหน

หลายคนต้องการความรักจากคนอื่น โดยที่ไม่เคยให้ความรักกับใครเลย
    คนบางคนเห็นคนอื่นมีแต่คนมารัก มาเอ็นดู แล้วก็มองด้วยความอิจฉา ว่าทำไมไม่มีใครมารักเราบ้าง ทำไมไม่มีใครมาชวนเราคุย ชวนกินข้าว ดูหนัง โดยที่ไมเคยมองตัวเองว่าได้เคยทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นรึเปล่า ในที่ทำงาน เคยซื้ออะไรไปฝากใครมั้ย เคยชวนใครไปกินข้าวรึเปล่า เคยเสนอตัวช่วยงานใครโดยไม่หวังผลตอบแทนรึเปล่า เคยถามเค้ามั้ยว่าทำไมวันนี้สีหน้าไม่ค่อยดี มีปัญหาอะไรรึเปล่า (ไม่ใช่หาเรื่องนะ คนละอารมณ์กัน) ...ถ้าไม่เคยเลย ก็ไม่แปลกที่ไม่มีใครทัก ...เอ้ยไม่มีใครรัก

หลายคนตัดพ้อต่อโชคชะตาในความรัก แต่ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนโชคชะตา
   พื้นฐานของความรัก ส่วนใหญ่จะเริ่มจากกายภาพก่อน แล้วเค่อยเริ่มคบหาดูใจกัน ดังนั้นถ้าจะให้มีสาวมาแลก็ควรเริ่มจากการรักตัวเองก่อน ดูแลผมเผ้า การแต่งตัว ความสะอาด รวมถึงกลิ่น... เพราะความประทับใจแรกเจอนั้นสำคัญ ถ้าคุณไม่เคยดูแลตัวเองเลย ก็ไม่แปลกที่สาวจะไม่แล ... เมื่อเริ่มคบหาดูใจ คุณได้ใส่ใจกับคู่ของคุณแล้วรึยัง สีที่ชอบ อาหาร เครื่องดื่มที่ชอบ สถานที่ สัตว์เลี้ยง ครอบครัว ญาติๆ เพราะบางอย่างมันไม่สามารถทำได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ความจริงใจ และใส่ใจ ซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นความรักในที่สุด

หลายคนครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แต่ไม่เคยได้ทานข้าวด้วยกันเลย
   สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรามักไม่ให้ความสำคัญ แต่เมื่อพรากจากจึงค่อยได้คิด ผมดูหลายๆคนที่คนในครอบครัวก็อยู่กันครบนะ แต่พูดกันวันละไม่กี่ประโยค ไม่เคยมีกิจกรรมครอบครัว เหมือนกับพวกเราหลายๆคน ที่ทำงานหรือเรียนอยู่ไกลบ้าน พอกลับบ้านทีก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรือไม่ก็มัวอยู่แต่หน้าคอมพ์ ไม่เคยไปช่วยแม่ทำงานบ้าน ทำกับข้าวด้วยกัน พาไปเที่ยว ท่านเหงา ท่านคิดถึง จะไม่สนองท่านหน่อยเหรอ (กอดท่านบ้างอะไรบ้าง) ... ครั้นพอกลับมาเรียนมาทำงานก็ไม่เคยแม้แต่จะโทรกลับ (หรือบางคนหลงทางหาทางกลับบ้านไม่ถูกเพราะ 2-3 ปีกลับกันที) ในส่วนของเราอาจจะดูว่าไม่สำคัญ แต่สำหรับคนที่รักและเป็นห่วงเราโดยไม่หวังผลตอบแทน การโทรไปหาแค่วันละครั้งคงไม่มากเกินไปนะครับ ^_^

หลายคนใครชวนไปไหน แต่ก็ไม่เคยว่าง
   เจอบ่อย พวกบ้าเรียน บ้างาน บ้าเกมส์ บ้าโลกออนไลน์ ใครชวนไปไหนไม่ค่อยได้ไปกะเค้า จนวันหลังพวกบอกไม่ชวนละ ถึงชวนมันก็ไม่ไป (ซะงั้น) ... การที่เราจะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน มันต้องทำผ่านกิจกรรมถึงจะได้รับความไว้วางใจในระดับที่สูงขึ้น จนกลายเป็นความผูกพันและความรัก ... ถ้าคุณคิดว่าการออกไปทำกิจกรรมกับแฟน เพื่อนๆ ครอบครัว มันทำให้เสียเวลามากนักละก็ ผมขอให้คิดซะใหม่นะครับ บางอย่างทิ้งไว้ซักชั่วโมง สองชั่วโมง แล้วกลับมา ทำมันอาจจะดีกว่าการนั่งจม "ปลัก" (อืมม ประมาณควายติดหล่ม) อยู่กับหน้าจอก็เป็นได้ ทั้งยังได้พบเพื่อนใหม่ๆ คนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ รวมถึงโอกาสใหม่ๆ และแน่นอน ได้ความรักและความไว้วางจากจากเพื่อนๆด้วย

หลายคนคาดหวังการยอมรับ แต่ไม่เคยให้อะไรกับสังคม  
   สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน คุณรู้จักใครในหมู่บ้าน หรือในคอนโดเดียวกันบ้างครับ คำตอบส่วนใหญ๋คือรู้จักไม่เกิน 10 คน บางคนมีงานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ใกล้ๆ บ้านแต่ไม่เคยไปช่วยงาน ... บางคนอยากได้รับเลือกเป็นตัวแทนของหน่วยงานหรือโรงเรียน แต่ไม่เคยทำอะไรให้ กับหน่วยงานเลย ...มองเห็นอะไรรึยังครับ ถ้าคุณไม่เคยให้อะไรกับสังคมเลย (แม้กระทั่งความสนใจและใส่ใจ) มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างคุณ การให้ความรัก การช่วยเหลือ และการเอาใจใส่ นั้นสำคัญสำหรับการที่จะได้มาซึ่งการยอมรับอย่างจริงใจ

หลายคนไม่พอใจกับสิ่งที่มี อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขา ทั้งที่ไม่จำเป็นกับชีวิต
   บางคนบอกดูบ้านโน้นสิ เรียนจบมาก็มีรถขับละ เพื่อนเราได้โทรศัพท์ใหม่ด้วยแค่เรียนให้ได้ A แค่ตัวเดียว (เราเรียนได้ A ตั้ง 4 ตัวไม่เห็นได้ไรเลย) พาลไปถึงโชคชะตา วาสนาโน้น ... ทั้งๆที่ของบางอย่างไม่ได้จำเป็นจริงๆ กับชีวิตเราสักเท่าไหร ไม่มีก็ไม่เห็นตาย (แถมบางทีก็ประหยัดเงินอีกต่างหาก) ... ถ้าอยากรู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนถ้าเทียบกับคนที่มีอวัยวะไม่เท่าคุณ(หมายถึงจำนวนแขนขานะครับ อย่าคิดมาก)  มีโอกาสไม่เท่าคุณ จงดีใจเถอะครับถ้าคุณได้อ่านบทความนี้แสดงว่าคุณมีโอกาสมากกว่าคนอีกหลายล้านคน (บางที่ไฟยังไม่เข้า ไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้)


จงสำนึกขอบคุณเถอะครับ ทีคุณยังมีชีวิตอยู่ อยู่โดยไม่ได้ขัดสน ยังมีอวัยวะครบสามสิบสอง กินได้ เดินได้ นอนได้ปกติ มีครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า มีเพื่อนที่รักใคร่ มีคนที่คุณรัก และรักคุณ ขอบคุณโลกใบนี้ที่ยังมีที่ให้เรายืนอยู่ มีอากาศดีๆ ให้เราหายใจ มีฝน ร้อน หนาว ตามฤดูกาล ขอบคุณที่อ่านบทความนี้ ขอบคุณที่จะกลับไปให้ความรักกับสิ่งดีๆ คนดีๆที่อยู่รอบตัวคุณ ขอบคุณครับ

Aj.Bee

ยุคนี้ถ้าไม่ App แบ้วแล้วจะ App อะไรดี??

เจอมาเยอะ เจ็บมาเยอะ (พี่สมจิตเค้า) เขียนโปรแกรมไว้ขึ้นหิ้ง ไม่มีใครใช้ ไม่มีใครโหลด ไม่เว้นแม้กระทั้ง App ใหญ่ๆ ฟีเจอร์เจ๋งๆ คนเขียนก็เทพ concept ก็สุดยอด ทำไมมันขายไม่ออกหว่า (อันนี้น่าคิด เพราะถ้ามันไม่เกี่ยวกับหน้าตาขอคนเขียน มันต้องมีสาเหตุ)

ความแตกต่างระหว่าง Project กับ Product
   ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Application มันแบ่งได้หลายแบบ แต่ถ้าจะให้เกี่ยวเป็นเรื่องเดียวกันผมขอแบบตามที่มาของ Requirement
  • Project  ส่วนใหญ่จะมี requirement ที่ชัดเจน โจทย์มาจากลูกค้า หรือผู้ว่าจ้าง ผู้ใช้จะเป็นเฉพาะกลุ่ม หรือเฉพาะธุรกิจ ที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร หรือปรับปรุงบริการให้กับลูกค้า ตัวอย่างเช่น ระบบ บัญชี , ERP, CRM เป็นต้น
  • Product  เป็นสิ่งที่สร้างจากสมมติฐาน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะอย่างเหมือนกัน แต่โดยมากมาจากการคาดเดาความต้องการ หรือจากการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น พวก App บน Mobile ส่วนใหญ่ที่เปิดให้ download , พวก Software สำเร็จรูป อย่างพวก MS.Office โปแกรมแต่งรูป (ซึ่งบางครั้งมันอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานทั้งหมดของคุณ ทำได้อย่างเดียวคือการ update version)
คุณเข้าใจความต้องการของผู้ใช้จริงเหรอ???
    ผมจะไม่พูดเรื่องของ Project นะครับ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นระดับองค์กร และมีทีมงานขนาดใหญ่สำหรับพัฒนาระบบ กลุ่มเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้
    ถ้าคุณต้องการสร้าง Product หรือ Application เพื่อที่จะขาย โดยเฉพาะขายให้กับคนหมู่มาก ก็ต้องมามองกลุ่มผู้ใช้ให้ออกก่อนว่าเป็นใคร การใช้งานเป็นรูปแบบส่วนบุคคล กลุ่มคน องค์กร หรือกลุ่มสังคม ซึ่งแต่ละรูปแบบ ก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก บางคนคิดแค่ว่าอยากเขียน อยากทำ แต่ไม่รู้ว่าจะมีใครมาใช้ด้วยรึเปล่า นั่งทำไป 2 เดือน โปรแกรมเสร็จ ไม่มีใครเอาไปใช้ (มองในแง่ดีคือได้ประสบการณ์ ... แต่ถ้าได้เงินด้วยมันจะไม่ดีกว่าเหรอ??)
    บางอย่างเราพยายามยัดเยียดเทคโนโลยี ขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน สีสันที่ดึงดูด ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ปัญหาของพวกเค้าได้รับการแก้ไข

ปัญหาคืออะไร ทำยังไงถึงจะมีปัญหา
   ถ้าใครที่เรียนสาย Com.Eng หรือ Com.Sci หรือสาขาอื่นๆ ที่ต้องทำ Senior Project ก็จะรับทราบข้อนี้เป็นอย่างดี บางคนคิดแค่ว่าตอนนี้เขียนอะไรได้ ทำอะไรเป็น แล้วค่อยคิดหัวข้อตามนั้น (ใช่แล้วครับ มันเหมือนกับการคิดหัวข้อโปรเจ็คจบนั่นแหละ) ถ้าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆกับชาวโลกเลย ก็เปล่าประโยชน์ที่จะทำ มาลองดูว่าปัญหาอะไรบ้างที่ควรได้รับความสนใจ (แค่ยกตัวอย่างให้ดูนะครับ)
  • ปัญหาส่วนตัว    เช่น บัญชีส่วนบุคคล, รายการที่ต้องทำ, บันทึกประจำวัน 
  • ปัญหาของกลุ่ม เช่น การสื่อสารภายใน, การกำหนดนัดหมาย, การประชุมย่อย
  • ปัญหาองค์กร    เช่น การจัดการบุคคล, สื่อสารองค์กร, ประชาสัมพันธ์, จัดการลูกค้า
  • ปัญหาสังคม      เรียกได้ว่าเป็นปัญหาของคนหมู่มากก็ได้ เช่นการสื่อสาร สิ่งแวดล้อม
   เมือได้ปัญหาแล้วค่อยมาวิะเคราะห์ดูว่า เรามีศักยภาพพอที่จะแก้ปัญหานั้นด้วยโปรแกรมได้หรือไม่ ต้องใช้กำลังและทรัพยากรอะไรบ้าง บางครั้งปัญหาก็อาจจะเกิดจากการแก้ปัญหาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ เช่น

ข้อมูลอยู่คนละที่-> นำมาขึ้น Internet -> สร้างระบบค้นหา (Google)  -> ได้ผลการค้นหาแล้ว ข้อมูลก็ยังเยอะและไม่อยู่ใน 10 อันดับแรกที่เราต้องการ

อีกตัวอย่างหนึ่ง
อยากมีเพื่อนเยอะๆ -> social network -> มีเพื่อนเยอะละ -> อยากกันเพื่อนเป็นกลุ่มๆ
ส่งข้อความธรรมดาไม่สวย -> ระบบ Sticker, Emo -> มี Sticker เยอะเกิน หาไม่เจอ (ฮา)

  วิธีการฝึก ให้พยายามมองทุกอย่างรอบตัวเรา ในแง่มุมของปัญหาที่เกิดขึ้น คิดวิธีแก้ปัญหาหลายๆวิธี เลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และสภาพเศรษฐกิจ เช่น ไปกินข้าวร้านประจำ เอ๊ะทำไมสั่งตั้งนานยังไม่ได้ซักที??? ... รถติดจัง??? ... จะไปทันมั้ยเนี้ย??? ... หรืออาจจะมาจากความไม่สะดวกส่วนตัว เช่น อยากได้ผู้ช่วยเวลาคิดหัวข้อแล้วมันไปค้นแล้วสรุปโดยเทียบกับ profile หรือพฤติกรรมของเรา พร้อมกับดึงข้อมูลทุ้งหมดมาแบ่งเป็นหมวดหมู่มาให้เลย???  มองทุกอย่างให้ลึกถึงปัญหาแล้วหาวิธีแก้อย่างสร้างสรรค์

สนใจชาวโลกบ้างก็ดี เค้าเดือดร้อนอะไรกัน เงินมันมาทีหลัง
   บางครั้งปัญหาที่เราพบก็อาจจะกลายเป็นปัญหาสารธาณะ (ของชาวโลก) ก็เป็นได้ และถ้าคุณมีวิธีแก้ไขที่ดีพอ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก ถึงเวลาอาจจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ชั่วข้ามปี ก็เป็นได้ ตัวอย่าง
  • อยากพูดคุยและแชร์ความรู้สึกกับเพื่อน -> Facebook
  • อยาก chat มันส์ ๆ หรือส่งข้อความโดยไม่ต้องเสียตังค์ -> LINE
  • อยากเก็บข้อมูลแล้วเข้าถึงจากที่ไหนก็ได้ -> Dropbox
  • อยากค้นข้อมูลของทั้งโลก -> Google
  • อยากเพิ่มช่องทางขายหนังสือ -> Amazon
  • อยากแชร์วิดีโอให้ครอบครัวกับเพื่อนๆดู -> Youtube
   ตัวอย่างที่ list มาเป็นบริษัทที่ทำรายได้ต่อปีอยู่ในอันดับต้นๆ รวมถึงบริษัทหน้าใหม่ที่เริ่มจากแนวคิด ความต้องการในการแก้ปัญหา แต่พอดีว่ามันไปตรงกับคืนอื่นๆ อีกหลายล้านคนทั่วโลก บวกกับระบบการทำเงินในลักษณะของการโฆษณา และการแบ่งรายได้ที่ฉลาดขึ้น ทำให้ตอนนี้ นับเงินกันไม่ทันเลยทีเดียว (ตอนเริ่มต้นอย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องเงิน หรือการยอมรับ เพราะอาจจะทำให้ท้อและล้มเลิกกลางคันได้ ให้ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ เดินอย่างมั่นคงทีละก้าว แล้วความสำเร็จจะตามมาเอง)

ที่ว่าดี นะดีจริงเหร้อออ
   ข้อเสียของ นักพัฒนาส่วนใหญ๋คือการเชื่อมันในตัวเองสูงเกิ้นนน คิดว่าที่ตัวเองคิดนี่ ที่สุดของที่สุดแล้ว จึงละเลยการไปศึกษาของชาวบ้านเค้า ว่าเค้าทำกันไปแล้วรึยัง เค้าแก้ปัญหายังไง กลุ่มผู้ใช้เป็นใคร ถ้าเหมือนกับของเรา เราจะทำให้ดีกว่าเค้าได้ยังไง ซึ่งบางครั้งการพูดคุยกับผู้รู้ กับเพื่อนๆ หรือคนที่อยู่ทั้งในวงการ และนอกวงการ ก็จำเป็น รวมถึงบางครั้งอาจจะต้องมองถึงแหล่งทุน วิธีการสร้างรายได้จากสิ่งที่คุณคิดและทำมันขึ้นมา

ผมจะไม่บอกว่าช่วงนี้ควรทำ App อะไรดี เพราะแต่ละช่วงจังหวะมันไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือการมองล่วงหน้าไปยังอนาคต เกาะกุมช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่สำคัญคือคิดและวิเคราะห์ให้ดี ก่อนที่จะทำ เพราะทุกวินาทีของคุณมีค่า ถ้าเลือกได้ทำของที่มันมีประโยชน์กับชาวโลกเค้าจะดีกว่านะ ^_^

Aj.Bee

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

จับสาย Mobile ค่ายไหนรุ่ง \o/

ส่วนใหญ่สิ่งที่ผมเขียนมักจะมาจากคำถามของคนรอบๆตัว คราวนี้ถึงรอบคำถามยอดฮิตคืองานสาย Mobile Programming เพราะตอนนี้มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 6 แล้วใครๆ ก็ใช้ Smart Phone (ของผมยังใช้ Smart คนอยู่เลย ฮา) ความเห็นของผม มาจากการอ่าน การพูดคุย วิเคราะห์ สังเคราะห์ ไม่ได้ขอให้เชื่อ แต่ให้ลองนำไปพิจารนาดู จะได้ไม่พลาดโอกาสดีๆ ตกขบวนรถไฟไป

คำถามยอดฮิต เขียนของค่ายไหนดี
    ที่ถามอย่างนี้เพราะปัจจุบันมีอยู่ 3 ค่ายหลักที่กำลังอยู่ในกระแสบ้านเราคือ iOS, Android และ Windows Phone (ส่วนของ BB ผมว่าหลังๆ เงียบถึงเงียบที่สุด) ซึ่งจริงๆ ถ้าไปดูชาวโลกเค้ามันมีมากกว่านี้นะครับ แล้วประชากรส่วนใหญ่ของโลก ก็ไม่ได้มี Smart Phone ครบทุกคน ลองมาวิเคราะห์ ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละค่ายดู

 iOS (Apple)
   คือเขียนรองรับอุปกรณ์ iDevice ทั้งหมดได้แก่ iPod, iPhone, iPad จุดเด่นของค่ายนี้คือระบบ Eco System ที่เป็นแรงดึงดูดเหล่าสาวกทั้งหลาย และผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็มีกำลังซื้อและพอใจที่จะซื้อ Application อย่างเต็มใจเพื่อแลกกับคุณภาพและความประทับใจในการใช้งาน ตัว Hardware ไม่ต้องพูดถึงเพราะดีอยู่แล้ว(ของเค้าแรงจริง) จุดแข็งอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของการควบคุมการแสดงผลที่จัดการเรื่อง Multi Screen size และ rotation รวมถึง Gingure ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้นักพัฒนาเหนื่อยน้อยลง
  อุปสรรค์สำหรับการพัฒนาบน platform นี้คือการพัฒนาที่ค่อนข้างเป็นระบบปิด โดยถ้าไม่เสีย $99 เหรียญ (จริงๆ ถือว่าไม่เยอะสำหรับสิ่งที่ได้) ก่อนก็จะไม่สามารถลอง deploy app ลง device จริงได้ แต่พี่ไทยก็มีทางแก้นะ คือการสมัครและใช้ account ร่วมกัน แต่สิ่งที่ยากก็คือการฝ่าด่านอรหันต์กว่าจะเอาแอพฯ ขึ้น App Store ได้บางคนถ้าไม่เคยมาก่อน อาจถึงขั้นน้ำตาหยดเป็นเลือดก็เป็นได้

Android (Google)
  รองรับอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ทั้งหมดโดย hardware หลักในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็น Samsung พวก Galaxy Sx, Galaxy Tab และ Galaxy Note ... ยังไม่พอยังมีของค่ายอื่นๆ รวมถึงของพี่จีนด้วย เรียกว่าเยอะรุ่น คละขนาด ประสิทธิภาพจนลายตากันเลยทีเดียว ... คนใช้ Android ส่วนใหญ่จะเชื่อในเรื่องสังคมของการแบ่งปัน และนิยมของฟรี ... ทำให้นักพัฒนาต้องคิดหนัก ว่าทำยังไงถึงผู้ใช้ถึงจะยอมควักเงินจากกระเป๋าซื้อ App ของตัวเอง ...รวมถึงกลไกในการป้องกันการลง App เถื่อนเองก็ยังมีประสิทธิภาพไม่ดีพอ แต่ด้วยจำนวนผู้ใช้ ที่มากกว่า iOS หลายเท่าก็พอจะถัวเฉลี่ยกันไปได้
  จุดเด่นของการพัฒนาบน platform นี้คือถ้ามีพื้นฐานเดิมจาก Java ก็เริ่มกับ Android ได้ไม่ยาก รวมถึง Community ที่ค่อนข้างเปิด มีพวก Greek ให้ปรึกษาเยอะ ที่สำคัญคือ ทุกอย่างฟรี  รวมถึงระบบสนับสนุนของ Google หลังๆก็เปิด API ให้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการพัฒนาด้านของตัว UI เองก็เริ่มจะมีลุ้นและสูสีกับค่ายด้านบน  อีกทั้งนักพัฒนายังสามารถทดสอบ App ของตัวเองบน Hardware จริงโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน (ถ้าจะเอาขึ้น Market ค่อยเสียค่าสมัคร  ...อืมม แต่ว่าตัว Emulator นี่ยังอืดๆ อยู่นะ ฮาา)

Windows Phone (Microsoft)
    ถือเป็นน้องใหม่ (จะว่าใหม่ก็ไม่เชิง แต่ของเดิมมันไม่ค่อยรุ่ง) ที่แก้จุดด้อยของตัวเองคือเรื่องของ UI และ Screen Flow และการดึงพันธมิตรร่วมอย่าง Nokia และ HTC เข้ามาทำให้ขยายฐานผู้ใช้ได้อย่างมาก และแล้วแนวคิดของการมองข้ามเรื่องของ Hardware platform ก็เริ่มนำมาใช้ คือเขียนทีเดียวได้ทั้ง Mobile, Tablet, PC รวมไปถึง Big Screeen device (พวก TV จอยักษ์) ทั้งในแง่ของการพัฒนาก็สามารถดึงนักพัฒนาจาก version เดิมขึ้นมาได้ ...จะมีที่ดูแปลกใหม่หน่อยตรงส่วนของการเขียนแบบ JavaScript+HTML5 แต่ก็ถือว่าไม่ใหม่มากสำหรับใครที่อยู่ในวงการอยู่แล้ว
   จุดที่เห็นจะเป็นการบ้านหนักของ MS คือการพยายามดึงนักพัฒนาและสร้างจำนวน Application ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ให้เพียงพอที่จะดึงดูดลูกค้าจากค่ายอื่นให้มาลองใช้ดู (แต่เรื่อง Marketing หลังๆรู้สึกพี่แกจะแผ่วๆไปนะ) ถ้าใครเคยลง Windows 8 หรือเล่นพวก Windows Phone (Lumia 920) ก็จะพบว่ามี App หรือ เกมส์ ให้เล่นยังไม่เยอะนัก ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ยังลังเลกันอยู่

สรุปเลือกตัวไหนดี ?? ชักงงละเนี้ย  -_-"
   ถ้าเพิ่งเริ่มเขียน Mobile App ผมแนะนำให้เขียนกับ Android จะง่ายที่สุด เพราะต้นทุนไม่เยอะ รวมถึงเครื่อง Android ที่จะนำมาทดสอบราคาก็ไม่สูงมาก อีกทั้งมีคนเขียนกันเยอะหาที่ปรึกษาได้
   แต่ถ้าเริ่มมองหาตลาดที่จริงจัง กลุ่มผู้ใช้ใน class premium มากขึ้น และคาดหวังกับยอดขาย App ให้เริ่มลงทุนกับ iOS แน่นอนต้องลงทุนกับเครื่อง Mac (หรือไม่งั้นก็จัดเครื่องแรงๆ RAM เยอะๆ มาลง VM ...แต่เชื่อเถอะเขียนบน Mac ลื่นกว่าเยอะ) รวมถึงต้นทุนอีก $99 US ต่อปี (ถ้าได้กลุ่มเพื่อนอาจจะขอแชร์กันได้)
   ส่วนของ Windows Phone ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นตัวที่ไล่หลังมา กลไกในด้านของการ ซื้อขาย รวมถึงฐานผู้ใช้ ยังค่อนข้างคลุมเคลืออยู่มาก แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีในอนาคต (ถ้ามี Hardware เจ๋งๆ ออกมาเยอะๆ อะนะ) ที่สำคัญต้อง Dev บน Windows 8 และใช้ VS.Studio .NET ในการพัฒนา (แต่ถ้าให้เทียบกันตัวนี้ Emulator เร็วสุด ...ถ้าเขียนเป็นแบบ HTML5 +Javascript นะ)

สุดท้าย หากต้องการเก็บฐานลูกค้าทุกกลุ่ม ก็ต้องเขียนมันทั้ง 3 Platform อยู่ดี ...สังเกตุจากค่ายเกมส์ หรือค่าย Mobile App ส่วนใหญ่จะมีให้บริการในทุก Platform และมีตัวช่วยในการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยระบบ Cloud Storage  บางเจ้าที่ลงในระดับที่ไม่ลึกถึง Hardware มากนัก อย่างเช่นการทำ Catalog on mobile , eMagazine ก็จะหันไปใช้ Mobile Web ที่เขียนด้วย HTML5 + jQuery Mobile (หรือ Javascript Framework ค่ายอื่นๆ) ก็เพียงพอแล้ว ถ้าต้องการแปลงให้เป็น Native ก็ค่อยใช้เครื่องมือพวก PhoneGap มาช่วยแปลงอีกที (แต่ยังไงก็ต้องมี Environment ของแต่ละ platform ด้วยอยู่ดี)

สิ่งสำคัญไม่ได้ว่าอยู่บน Platform ไหน ขายได้รึเปล่า
มันอยู่ที่ คุณจะสร้างอะไรให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ใหม่ และแก้ปัญหาของพวกเค้าเหล่านั้นหรือไม่
ถ้ามันแก้ปัญหาของเค้าได้จริง เท่าไหร่ก็ขายได้ครับ

Aj.Bee

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

งานท่วมหัว ทำตัวยังไงดี

หลายคนเคยถามผมเรื่อง การแบ่งเวลาทำงานในแต่ละวัน เพราะส่วนตัวผมเอง นอกจากเรื่องงานหลัก งานรับ Job งานสอน แล้วยังมีเรื่อง เรียน เรื่องครอบครัว อีก (ไม่พอยังมีเวลามาเขียน Blog อีกนะ)  คำถามคือ อยู่ได้ไงเนี้ย บางคนแค่ทำงานอย่างเดียวก็จะตายอยู่แล้ว


เทคนิค ที่ผมใช้มาตลอดคือ
  1. จัดลำดับของงาน 
  2. สร้างเขื่อนกั้นงาน 
  3. กระจายงาน
  4. กำหนดเวลาที่เหมาะสม สำหรับแต่ละงาน
  5. ทำให้เสร็จทีละอย่าง ดีกว่าทำพร้อมกันแต่ไม่เสร็จซักอย่าง
จัดลำดับงาน
  งานที่เราเจออยู่ทุกวัน มีลำดับเร็วช้า หนักเบาแตกต่างกันดังนั้น ควรทำการแบ่งลำดับ และแยกแยะให้ดี ไม่ใช่มีอะไรเข้ามาก็ลุยๆ ทำไปเรื่อยๆ หรือเลือกแต่งานที่ชอบมาก่อน งานยากไว้ทีหลังเป็นต้น เกณท์การตัดสินใจมีดังนี้
  • งานเร่งด่วน แต่ ไม่สำคัญ  เช่น เพื่อนมาช่วนคุย โทรศัพย์เข้า กิจกรรมที่ชอบ ประชุมที่เราไม่เกี่ยว
  • งานเร่งด่วน และสำคัญ     เช่น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า งานที่ถึงกำหนดเส้นตาย 
  • งานไม่เร่งด่วน ไม่สำคัญ   เช่น งานตอบเมล์ facebook งานรูทีน
  • งานไม่เร่งด่วน สำคัญ       เช่น งานวางแผน การสร้างเครือข่าย สร้างความสัมพันธ์
  ถ้ามาลองดูให้ดีคุณอาจจะพบว่าวันๆ หนึ่งอาจใช้เวลาในการเช็คเมล์ ตอบเมล์ หรือหลงอยู่ใน facebook มากกว่า 2 ชั่วโมง ทั้งที่ยังมีงานสำคัญอื่นๆ รออยู่อีกเพียบ ดังนั้นจัดลำดับให้ดี โดยเฉพาะงานที่ทีม หรือคนอื่นรอคำตอบหรือรอผลลัพธ์จากเราอยู่ ให้รีบทำแล้วส่งต่อไป ทีมจะได้รีบ process ไม่ต้องรับมากดดัน

สร้างเขื่อนกั้นงาน
  งานก็เหมือนกับน้ำป่า ถ้าปล่อยให้ทั้งหมดมาพร้อมกัน คุณคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ดังนั้นเมื่อจัดลำดับได้แล้วก็ให้กรองงานต่างๆ ว่าอันไหนควรทำก่อน หรือหลัง อันไหนที่ต้องทำเองพลาดไม่ได้ อันไหนส่งให้คนอื่นทำได้ รู้จักหาเวลาพักบ้าง อย่าให้คนเค้าว่าทำงานจนเหนื่อยตาย ที่สำคัญคือควรรู้จักปฏิเสธงานบ้าง ถ้าเห็นว่าเราไม่สามารถจะรับทำได้ (ปฏิเสธแบบมีศิลปะหน่อยละกัน ไม่งั้นงานหน้าไม่เกิด) ไม่ใช่อะไรก็รับหมด

กระจายงาน
  ปีระมิด ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว และของบางอย่างก็ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเพียงคนเดียว ถ้าคุณมีทีมงาน หรือคนที่คุณไว้วางใจ คุณสามารถที่จะแบ่งภาระงานให้กับเค้าเหล่านั้นได้ (ถ้าเค้ายินดีช่วย) บ่อยครั้งที่เรานึกเกรงอกเกรงใจ แต่ที่จริงคนเหล่านั้นอาจจะยินดีช่วยคุณเพราะเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ฝึกฝนและแสดงฝีมือก็เป็นได้ ... ถ้าตอนนี้คุณมองไปรอบตัวแล้วยังไม่เจอใครที่จะสามารถส่งงานไปให้ได้ แสดงว่าคุณต้องเริ่มหาคนมารับการถ่อยทอดทายาดอสูรแล้วหละ การสอนงานอย่างเต็มใจ และติดตามผลของงาน อย่างไว้วางใจ (ไม่ใช่ไปจึ้ทุกขั้นตอนไม่ต่างกับทำเอง) ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างผู้ช่วยที่เข้มแข็งในอนาคต

กำหนดเวลาที่เหมาะสม
   งานแต่ละอย่างใช้เวลา และความรู้ความสามารถที่แตกต่างกัน เช่น การโทรหาลูกค้า การเช็คเมล์ และตอบเมล์ การวางแผนผลิตภัณฑ์ใหม่ การติดตามงาน เช่นสำหรับผมเช็คเมล์วันละ 2 เวลา คือ 9:30 และ 13:30 นอกจากนั้นอาจจะสมัคร push mail ไว้ด้วยเพื่อที่จะไม่พลาดเมล์สำคัญ ... งานทีต้องออกแบบและวางแผนและใช้ความคิด อาจจะเลือกช่วงเวลาที่มีสมาธิ สติ แจ่มใสที่สุด เช่นช่วงเช้า หรือช่วงค่ำ ซึ่งเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน

ทำให้เสร็จทีละอย่าง
   หลายคนบอกงานเยอะมาก แต่ทำไม่เสร็จซักกะอย่างอย่าไปติดกับดักของความเร่งด่วน ทุกอย่างมีความหนัก-เบา เร็ว-ช้า แตกต่างกัน งานที่มีคนรอควรทำให้เสร็จแล้วส่งต่อไปก่อน งานที่ต้องทำเอกสารหรืออบรมแนะนำวิธีการทำงาน ก็ควรทำให้เสร็จก่อนเพื่อทีมสามารถนำไปทำงานต่อได้ ความสำเร็จชิ้นเล็กๆ จะทำให้เราเกิดความภูมิใจ และมันใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมที่จะรับงานที่หนักขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆได้ ที่สำคัญควรใส่อารมณ์ควมรู้สึกสนุกไปกับมันด้วย

...
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังทำงานอยู่ เพราะเค้าสนุกไปกับมัน มองลูกค้าเป็นเพื่อนที่จะเข้าไปพูดคุยกัน งานแต่ละงานก็เหมือนกับเล่นเกมส์ผ่านด่าน เก็บ Level เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องเงิน หรือตำแหน่ง มันเป็นของลวงตา ถ้าทำได้ดีเดี๋ยวมันมาเอง ^_^

สำหรับผมทุกวันนี้ ก็ไม่ได้คิดว่ากำลังทำงาน เพราะผมสามารถสนุกได้กับทุกสิ่งรอบตัวไปพร้อมๆ กับการทำมันให้สำเร็จไปด้วยได้ ที่สำคัญอย่าลืมคนรอบตัวเรา ครอบครัว ควรให้ความสำคัญไปพร้อมๆ กันด้วย ใช้ชีวิตให้สมดุล์ กันนะครับ

Aj.Bee

Programmer มือใหม่ ทำยังไงให้เป็น lnw ฯ

มาดูกัน ว่าขั้นตอน หรือบันไดสู่การเป็นเทพ Programming (หัวข้อออกเกินจริงไปนิดหนึ่งนะ แต่เพื่อเรียกแขก) จะต้องฝ่าฟันอะไรกันบ้าง

การถูกเรียกว่า "เมพ ขิง ขิง" นั้นไม่ได้มาจากที่เราเรียกตัวเอง มันต้องมาจากการที่คนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ให้การยอมรับ และแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ น้ำตา(ไหลเวลามองจอนานๆ T_T) และความพยายาม

 พื้นฐานต้องแน่น
    ทุกภาษา Programming มีรากฐานเดียวกันคือต้องมี Logic หรือ Algorithm ทุกคนรู้จัก if, else, for, while และ statement เหมือนกัน แต่เขียนอย่างไรให้ให้ทำงานได้เร็วที่สุด ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด (CPU, RAM) ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ความรวดเร็วในการตีความโจทย์ในชีวิตจริง ให้เป็นโปรแกรม
     วิธีฝึก เริ่มจากอย่างง่าย ที่ทำกันในห้องเรียนก็ได้ เช่นการ print * ให้เป็นรูป ในรูปแบบต่างๆ  การทำงานกับข้อมูล พวก min-max, sorting, searching, scheduling และ indexing พวกนี้เป็นพื้นฐานของโปรแกรมขนาดใหญ่เกือบทุกตัว โดยก่อนที่เราจะ "ถึก" คิดเอง ก็ควรจะลองหาๆ ดูว่าเดี๋ยวนี้เค้ามี Algorithm มาตรฐานที่ใช้ๆ กันอะไรบ้าง ทำงานได้ดีแล้วรึยัง แล้วเอามาปรับใช้ก็ได้
ตัวอย่างเช่น http://www.algosort.com/  หรือหาได้ใน google

เครื่องมือต้องพร้อม
    หลายครั้งที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการติดตั้ง Enviroment เช่น ติดตั้ง JDK, IDE(เช่น eClipse หรือNetBeans),  Web Server, Database Server และอื่นๆ ถ้าอยากเป็นมืออาชีพคุณควรเริ่มทำความรู้จักเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ และหาเวลาทดลอง ลงใช้งาน ปัญหาของการใช้งาน รวมถึงความแตกต่างของเครื่องมือแต่ละตัว ซึ่งควรจะวางแผนการศึกษาให้ชัดเจน โดยดูจาก trend ว่าตัวไหนจะรุ่ง ตัวไหนจะร่วง (คงจะไม่มีใคร อยากใช้ของที่รู้ว่ายังไง อีก 1 ปีต้องเลิกใช้)
    วิธีฝึก ลองหา project เล็กๆ ทำที่ใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ แล้วติดตั้ง environment ที่คุณต้องใช้ทั้งหมด ... ถ้าเครื่องมือนั้นๆ ตอนลงมันกระทบกับตัว OS ... ขอแนะนำให้ใช้พวก VM เข้ามาช่วย (ถ้า RAM มีเยอะนะ) อย่างพวก Virtual Box, VM Ware หรือ Virsual PC สำหรับจำลอง Virsual OS จะได้ไม่กระทบกับงานหลัก เมื่อไม่ใช้ก็แค่ปิด VM ที่สำคัญคือ backup ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการเขียน program บางอย่างต้องการ environment ที่พิเศษจริงๆ เช่นการเขียนกับ iOS ต้องใช้ Mac OSX เดี๋ยวนี้เค้ามีให้ load เป็น VM แค่ load มา เปิด (แต่ต้องมีเทคนิค พิเศษในการ unlock vmware นิดหน่อย ใครอยากรู้ก็หลังไมค์ได้)

อ่านเอกสารภาษาอังกฤษเป็น (พวก API Doc กับ tutorial)
    เดี๋ยวนี้ชีวิต progammer ง่ายขึ้นจนแทบจะเรียกได้ว่าติดนิสัย ไม่ค่อยเขียนอะไรเองซักเท่าไหร่ เนื่องจากมี API (พวก class library ที่คนอื่นทำไว้ให้แล้ว) เช่น การต่อกับ Network, Database รวมถึงเอกสารสอนการใช้งานแบบ step-by-step โดยแทบจะทำตามก็ใช้ได้เลย ซึ่งถ้าจะทำอะไรที่ยากกว่านั้น ก็ต้องอาศัยการปรับแต่งเล็กน้อย  แต่ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่เขียนโปรแกรมเก่งๆ หลายคนกลับมาตายน้ำตื้น คืออ่านเอกสารเหล่านี้ไม่ค่อยเป็น แม้กระทั้ง keyword ที่ใช้ค้นหายังใช้ไม่ถูก
    วิธีฝึก หาโจทย์ แล้วดูว่าต้องใช้อะไรเพิ่มเติมบ้าง ค้นหาใน Google (พยายามค้นภาษาอังกฤษ) ไม่ต้องกลัวอ่านไม่ออก เพราะบทความเกี่ยวกับ programming ส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ความรู้ภาษาอังกฤษ มากนัก และเกิน 50% เป็น code แรกๆ อ่านไม่เข้าใจ ก็ copy code มาทำตามดูก่อน พอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มชิน และชำนาญขึ้นเรื่อยๆ

อย่าเขียนอย่างเดียว หัดออกแบบไปด้วย
    Programmer ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า แค่เขียน program อย่างเดียวก็เหนื่อยละ หรือไม่ถนัดในการออกแบบ ทำให้พลาดโอกาสสำคัญๆ ไป อีกทั้งพลาดโอกาสที่จะทำงานให้มันง่ายขึ้น หัดมองวิธีแก้ปัญหา และนำพวก Design Pattern มาใข้เช่นพวก GOF, JEE Pattern, Generic Pattern ดูว่าตัวไหนเหมาะจะใช้กับงานอะไร  หาวิธีที่จะทำให้ User ทำงานได้ง่ายขึ้น ระบบทำงานได้เร็วขึ้น ใช้เวลาประมวลผลน้อยลง แก้ไขภายหลังได้ง่ายขึ้น
  วิธีฝึก ถ้าเป็น programmer ที่ทำงานอยู่ในทีมอยู่แล้ว สามารถศึกษาจากพวก SRS และ Program Spec ที่ SA ส่งให้เราได้ ลองมาวิเคราะห์ดูว่า ถ้าเป็นเรา Req แบบนี้ จะออกแบบยังไง แต่ถ้าเพิ่งเริ่มหรือทำงานส่วนตัวให้เริ่มจากการลองออกแบบระบบง่ายๆก่อน เช่น ระบบเช่า-ยืม-คืน, ระบบหอพัก, ระบบขายสินค้าหน้าร้าน, ระบบบัญชีขนาดเล็ก ...ถ้าใครมาแนวเกมส์ ก็ให้ลองออกแบบเกมส์เริ่มจากง่ายๆ เช่นเกมบอร์ด พวก tic-tac-to หมากรุก PCMan ก่อนก็ได้

ติดตามข่าวสารและเทคโนโลยี
   เคยเจอรึเปล่า คุณลุงบางคนเขียน COBOL มา 15 ปี โดยไม่รู้ภาษาอื่นเลย บางคนเขียนแต่ C หรือ Java อย่างเดียว พออยากจะมาเขียน Mobile แล้วใบ้รับประทาน  ในโลกไอที การหยุดนิ่งคือการถอยหลัง หากคุณอยากเป็นผู้รอบรู้ และรู้รอบ ควรต้องติดตามข่าวสาร พิสูจน์ความจริง และนำเสนอในรูปแบบของคุณเอง มีบ่อยครั้งที่ผมถูกถามว่า ถ้างานแบบนี้ จะใช้อะไรดี มีอะไรให้เลือกบ้าง แต่ละตัวแตกต่างกันยังไง ข้อดี ข้อเสีย คืออะไร (การศึกษาควรลงไปถึงต้นกำเนิด เพื่อให้รู้ถึงเหตุผลว่าทำไมถึงตั้งเป็นแบบนั้น)
   วิธีฝึก เดี๋ยวนี้ทำได้ไม่ยากแล้ว แค่สมัครรับข่าวไอที หรือแค่หาแอพฯ ที่รับ feed จาก Blog ต่างๆ ถ้าเป็นภาษาไทยก็อย่างเช่น Blognone หรืออื่นๆ ยิ่งอ่านเยอะ อ่านจากหลายแหล่ง ความคิดเราก็จะคมไปด้วย ทำให้สามารถแยกแยะ หาข้อมูลเพิ่มเติม และมีเหตุผลมากขึ้น

รู้แล้วอย่ากั๊ก สอนให้เป็น
   สิ่งสำคัญของความสำเร็จคือ การให้ ซึ่งบ้างครั้งมันหมายถึงการแลกเปลี่ยนความรู้กัน คุณอาจจะพบเพื่อนใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ คนรู้จริง ควรถ่ายทอดให้เป็น ถ้ารู้แล้วทำให้คนอื่นรู้ด้วยไม่ได้ ก็ไม่ถือว่ารู้จริง ต้องฝึกการอธิบายสิ่งที่ยาก ให้ง่ายแก่การเข้าใจ บ้างครั้งอาจจะเป็นคนในทีม เพื่อนร่วมงาน รุ่นน้อง แล้วความยอมรับนับถือจะตามมาเอง
   วิธีฝึก เริ่มจากการฝึกพูดหรือสอนแบบสั้นๆ ดูก่อน เตรียมข้อมูลสำหรับการนำเสนอ ถ้ามีโอกาสอาจจะลองรับงานเป็น tutor หรือ อาจารย์พิเศษ หรือ Trainner ดู จะทำให้เราเปิดมุมมองและได้ความรู้เพิ่มขึ้นจากสิ่งที่ผู้เรียนถาม หรืออีกทางหนึ่งที่คุณสามารถทำได้เลยคือการเขียน Blog หรือทำ VDO สอนแล้ว upload ลงบน youtube พยายามเผยแพร่สิ่งทีคุณรู้ นอกจากได้บุญแล้ว บางครั้งยังอาจจะได้เงินด้วย


เพียงเท่านี้ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ (ไม่เหนื่อยตายซะก่อน 555) รับรองอีกไม่นานคงมี เทพฯ มาจุติแน่นอน ^_^

Aj.Bee

คิดบวก พูดบวก ชีวิตรุ่ง

พลังของการคิด พลังของคำพูด ทำให้ชีวิตเราและคนรอบข้างเปลี่ยนไปได้จริงๆครับ บ่อยครั้งที่เราพูดโดยไม่ทันได้คิด และบ้างครั้งก็คิดแล้วแต่พูดไม่ถูก ทำให้เกิดการเข้าใจผิดบ่อยๆ ทีนี้มาดูกันว่าคนคิดบวก มีวิธีการจัดการกับการพูดยังไงบ้าง เพราะสิ่งที่เราพูดจะสะท้อนสิ่งที่เราคิด

ลองมาเปรียบเทียบกันดูว่า คำพูดที่เราใช้ในชิวิตประจำวัน ซึ่งเหมือนไม่มีอะไร ส่งผลยังไงกับความคิดคนรอบข้างบ้าง

ชวนกินข้าว (อันนี้เจอบ่อยใกล้ตัวมาก)
- "ไม่" กินเข้าเหรอ      ("ไม่" ตกลงมันตั้งใจจะชวนรึเปล่าเนี้ย)
+ กินข้าวกันมั้ย       (อืมม อย่างนี้ค่อยหน้าฟังหน่อย)

การปฏิเสธ
-  เรื่องนี้ผมช่วยคุณ "ไม่ได้" หรอก          (เออ คราวหลัง ... ก็จะไม่ช่วย ... คอยดู)
+ ผมจะลองหาวิธีดูให้นะ แต่ไม่แน่ว่าจะช่วยได้รึเปล่า   (พยายามเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร)

การตั้งเป้าหมาย
-  ฉัน "จะ" ทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จให้ได้        (แค่ "จะ" ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้)
+ ฉัน "ต้อง" ทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จก่อน .... โมง   (กำหนดเป้าหมายชัดเจน ไม่หลักลอย)

ติดไฟแดงคันแรก
- ..... เอ้ยไม่ทันจนได้   (จะรีบไปไหน)
+ ดีจังเดี๋ยวพอไฟเขียวจะได้ออกคันแรก

ได้งานที่ไม่ถูกใจ
- โหงานไม่แนวเลย ไม่ทำได้รึเปล่าเนี้ย   (งั้นวันหลังก็ไม่ต้องทำละกัน ไม่ส่งงานให้ละ)
+ โอวว งันไม่ถนัดแต่ได้ประสบการณ์เพิ่ม ดีจริง

ของเหลือ
-  เหลือให้แค่เนี้ย วันหลังไม่ต้องนะ  (ดูมัน อุตสาห์สละ เหลือให้มัน ยังจะ ...)
+ ขอบใจนะอุตสาห์ นึกถึงเรา ซึ้งอะ

ขายบ้านหลังเขา
-  บ้านหลังเขา เดินทางไกลนิดหน่อย สภาพ 50%
+ บ้านชานเมือง สภาพดี สงบและเป็นส่วนตัว

ลูกสอบได้คะแนนไม่ดี
-  ทำได้แค่นี้เองเหรอ บอกแล้วว่าอย่ามัวแต่เล่นเกมส์
+  อืมม ถ้าทำเต็มที่แล้ว คราวหน้าต้องพยายามขึ้นไปอีกนะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะ

ลองกันดูนะครับ การพูดถือเป็นศิลปะชั้นสูง และการพูดบวกนั้นเป็นศิลปะที่สูงกว่า ที่เราเรียกว่าการพูดแบบมีวาทะศิลป์ หรือพูดแบบนักการทูต ดังนั้นลองฝึกคิดบวก พูดบวกในสถานะการณ์ต่างๆ ดูนะครับลองคิดว่าตัวเองเป็นคนฟังว่าจะรู้สึกยังไง เวลาที่ต้องใช้จะได้ใช้ได้โดยไม่ติดขัด

พูดดี เป็นศรีแกตัว
Aj.Bee


วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

Web Security เขียนกันทุกวันแล้วมันปลอดภัยรึยัง

    หลังๆ มีข่าวเรื่องเว็ปโดนแฮก กันบ่อยมากทั้งต่างประเทศ และในไทยเราเอง เลยอยากจะแชร์ปัญหาด้าน Security ของ Web ที่เจอกันบ่อยๆ ให้ได้รู้กันไว้ จะได้ไม่เขียนเว็ปแบบส่งๆกัน (รับผิดชอบสังคมหน่อย) สิ่งที่ผมเขียนต่อไปนี้ถ้าใครตาม link ไปหรือนำไปคิดต่อยอดก็จะได้ประโยชน์มากมาย แต่ถ้าใครเอาไปใช้ในทางมิชอบก็ของแช่งไว้ล่วงหน้าเลยขอให้โดนจับ (ฮา... สาธุ้)


    ก่อนอื่นก็มาดูสถิติกันก่อน ว่าการโจมตีผ่านเว็ป (ขอย้ำว่าผ่านเว็ปเท่านั้น) มีอะไรบ้างที่โดนกันบ่อยๆ ลองตามดูที่เว็ปนี้ได้ (Open Web Application Security Project) มีทั้งวิธีการ Attack และวิธีการป้องกันพร้อมเลย

https://www.owasp.org/index.php/Category:OWASP_Top_Ten_Project

สาเหตุที่มักจะทำให้เว็ปเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตี
1. เป็นบริการที่เข้าถึงได้จากทุกที่ และสามารถเข้าถึงผ่าน Firewall ได้ (เพราะปกติเค้าไม่ block กัน)
2. เทคนิคใหม่ๆ ที่นำมาใช้เช่น AJAX, Java Scipt Framework ทำให้เกิดช่องโหว่ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
3. ความไม่ใส่ใจของนักพัฒนาเอง เช่นการจัดการกับ Exception, การ validate input ในฝั่ง Server
4. ความไม่ใส่ใจของ Host Owner ที่มองว่าเว็ปของตัวเองไม่ได้มีข้อมูลอะไร ใครจะแฮกไปคงไม่ได้อะไร
5. ความชะล่าใจ ว่า service หรือ url ของเราไม่สามารถเข้าถึงได้โดยคนอื่น

ทีนี้ลองมาดูการ Attack Web ยอดฮิตกันว่ามีอะไรบ้าง

SQL Injection , Script Injection
   เกิดจากการไม่ตรวจสอบ input ที่รับเข้ามา หรือยอมรับ tag <script> หรือพวก <img src=""> เข้ามาในระบบของเราที่มีการจัดเก็บลงฐานข้อมูล และมีการแสดงผลออกมาในภายหลัง ตัวอย่าง

   http://ferruh.mavituna.com/sql-injection-cheatsheet-oku/  (ลองกันเองนะ แต่รับรองว่าได้ผลครับ)

   ความอันตรายคือ ตั้งแต่การ bypass login ... การถูกฝัง script แปลกปลอมเข้ามาในระบบ จนถึงการลบฐานข้อมูล หรือเปลี่ยนสิทธิของ admin user
   การป้องกัน เปลี่ยนมาใช้ prepared statement หรือพวก O/R Mapping อย่าง Hibernate, JPA แทนซึ่งพวกนี้จะมีการ filter input ที่รับเข้ามาอยู่แล้ว รวมถึงการใช้ Servlet Filter ในการ filter input ในการกรองข้อมูล (http://www.oracle.com/technetwork/java/filters-137243.html)


Force Browsing
  เกิดจากการปล่อยให้บาง folder ไม่มีไฟล์ index หรือไม่มีการป้องกัน folder ในระดับสิทธิที่แตกต่างกัน สำหรับคนที่ชอบหา ebook ฟรี หรือพวก courseware ฟรี คงเคยหาผ่าน google กันแล้ว
  อันตรายคือ attacker สามารถเดา path ที่นิยมตั้งกัน เช่น /admin  , /install, /test, /log ... หรือแม้แต่การเดา URL parameter ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ระดับความสำคัญสูง (โดยเฉพาะพวกเว็ป CMS ที่มีให้ โหลด source ไปวิเคราะห์ได้)
   การป้องกันคือ ให้สร้าง Security Filter และมีการตรวจสอบ session ของผู้ใช้ ว่ามีสิทธิในการเข้าถึง folder เหล่านั้นโดยตรงได้หรือไม่ ถ้าเป็นตระกูล Apache ก็สามารถ set ไฟล์ .htaccess ได้ และทุก folder ควรมีไฟล์ index.html เพื่อป้องกันการแสดง list ไฟล์โดยอัตโนมัติ (บาง webserver จะ set default ได้)

Bruteforce Password , Dictionary Attack
  เกิดจากการที่ระบบไม่มี password policy ที่ดีพอ ยอมให้ user สามารถตั้งรหัสผ่านอย่างง่ายได้ ทำให้ attacker สามารถใช้ tools เช่น Brutus ในการยิง pattern ของ password เพื่อหารหัสผ่านของ user ใดๆ ได้
   อันตรายคือถ้าระบบของเราไม่ได้มีพวก IDS (Intrusion Detection System) สำหรับตรวจจับ หรือไม่มีการ block รูปแบบการโจมตีในลักษณะ DoS (Denie Of Service) ก็จะสามารถถูกแกะรหัสผ่านของ admin ได้ (เค้าไม่ค่อยเอาของ user กัน ยิงทั้งทีต้อง root หรือ admin ไปเลย ไม่เสียเวลา)
   การป้องกัน ในระดับ Programming คือ ควรเพิ่มกลไกในการตรวจสอบเช่น ถ้ามีการใส่รหัสผิดเกิน 3 ครั้ง ให้ล๊อก user นั้นไว้ ... การกำหนด passoword policy ว่าไม่ให้ตังรหัสสั้นกว่า 8 หลัก และต้องไม่อยู่ใน dictionary ของ hacker ... การเพิ่ม delay ของการ login หลังการใส่ password ผิด (ส่วนมาก delay ไว้ 30 นาที) ... การเพิ่มกลไกป้องกันการยิงโดย bot เช่น two factor login (ใช้พวก token) หรือการใช้ Capchar เข้ามาช่วย

Cross Site Script (XSS)
    เกิดจากการที่ระบบไม่ได้ป้องกัน Script Injection โดยปล่อยให้สามารถฉีด tag script ที่สามารถส่งข้อมูลกลับไปยัง server ของ attacker ได้ เช่น password, keylog , sessionID ซึ่งเป้าหมายส่วนใหญ่จะเป็นเว็ปที่สามารถ post ข้อมูลลงไปได้ เช่น guestbook, webboard, forum ลองค้นใน google ดูนะใช้ keyword "XSS cheat sheet" มีของให้เล่นเพียบ
    อันตรายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การถูกขโมยข้อมูล การถูก Phising หลอกให้กรอกข้อมูลสำคัญ การถูกขโมย session (กรณีที่คุณมีระดับสิทธิเป็น admin ละงานเข้าเลย)
    การป้องกันคือ ให้ block การ input พวก tag <script> โดยอาจใช้วิธีง่ายๆเช่นการ replace เครื่องหมาย "<" ด้วย &lt; และ ">" ด้วย &gt; ก่อนที่จะเก็บลงฐานข้อมูล หรือเขียนเป็น Filter ก็ได้
https://www.owasp.org/index.php/XSS_(Cross_Site_Scripting)_Prevention_Cheat_Sheet
** ที่สำคัญ Host owner ต้องคอยตรวจสอบ content ของตัวเองบ่อยๆว่ามีถูกฝัง XSS รึเปล่า

Cross Site Request Forgery (CSRF)
  เกิดจาก การทำงานในลักษณะคล้ายๆ XSS แต่แทนที่จะส่งข้อมูลกลับไปที่ attacker site กลับเป็นการ submit form โดยตัว user เอง ตัวนี้ค่อนข้างใหม่ในไทย และโดนกันไปเยอะ ประเภทเปิดหน้าเว็ปธุรกรรม แล้วเปิดอีกแท๊ปไปดูข่าว (หน้าที่ถูกวาง CSRF) พอคลิ๊กกลับมาอีกทีกลายเป็นว่าเงินถูกโอนไปแล้ว ... เทคนิคที่ใช้ค่อนข้างอยู่ในระดับสูงคือ attacker จะสมัครสมาชิกเว็ปเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์ Form ที่ใช้ในการทำธุรกรรมก่อน แล้วมาเขียน script ในการจำลอง input ที่จะ submit ข้อมูลที่ต้องการไปยัง site นั้นๆ ได้ เช่นเป้าหมายหลักอย่าง E-Banking พวกทำธุรกรรม online
   อันตรายคือ เงินของคุณอาจถูกโอนเข้าบัญชีอื่น คุณอาจจะส่งเมล์หรือข้อความไปด่าเจ้านายคุณ โดยที่คุณไม่ได้เป็นคนส่ง  คุณอาจจะเป็นคน post ข้อความที่เป็นภัยกับตัวคุณเองโดยไม่ได้ทำเอง
   การป้องกันในฐานะนักพัฒนาคือการ เพิ่ม token ให้กับ Form เพื่อให้มีการสร้างรหัส token ใหม่ทุกครั้งเมื่อเรียกใช้งาน Form หรือใช้พวก Capchar มาช่วยทำให้การยิงด้วย script ทำไม่ได้เนื่องจากรหัสของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ส่วนของ user ก็พยายามอย่าเปิดเว็ปด้วย Tab (ตอนนี้มันถือว่าอยู่ session เดียวกัน) ถ้ายังอยู่ในหน้าธุรกรรมสำคัญหรือควร logout ก่อน

จริงๆ ยังมีอีกเยอะ และรายละเอียดอีกเยอะ หวังว่าคงจุดประกายให้ web dev ทั้งหลายเริ่มหันมารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำกันบ้าง ไม่ใช่โทษแต่ server หรือ user อย่างเดียว

ของฝาก เครื่องมือแนะนำ สำหรับทดสอบเว็ปของเรา
- Vega Scanner ตัวนี้ของดี และเป็นของฟรีด้วย แถมยังแนะนำวิธีแก้ไขโดย link ไปที่ OWASP.org
- FireFox + Plug-in เช่น Firebug, Cookie Manager, Tamper, XSS Me, SQL Inject Me, HackBar
**หาไม่ยากลองค้นดูใน Google เองละกัน

การเป็นคนเก่ง กับเป็นคนดีนั้นต่างกัน ...เพราะคนดีจะรับผิดชอบสิ่งที่เค้าสร้าง ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
Aj.Bee
  

โปรแกรมจิต พิชิตนิสัย(สันดาน) เสีย

หลายๆคนคงเคยมีปัญหากับนิสัยแย่ๆ นิสัย(สันดาน)เดิมๆ ที่ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ดี ก็ยังทำมันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ส่วนตัวผมเชื่อในวิธีในการโปรแกรมจิต ไม่ต้องอ้างอิงผลวิจัยก็ได้เพราะลองกับตัวเองแล้วก็ได้ผลจริงๆ แล้วก็ใช้มันอยู่ทุกวัน ที่นี้เรามาลองวิธีโปรแกรมจิตเพื่อพิชิตนิสัยแย่ๆ ที่เราอยากเลิก โดยเฉพาะที่คนไอทีส่วนใหญ่เป็นกัน

ว่าด้วยเรื่องพื้นฐานก่อน
   องค์ประกอบสำหรับการโปรแกรมจิต ก็คล้ายๆกับเครื่องมือสำหรับใช้ในการเขียนโปรแกรมนี่แหละขึ้นอยู่กับว่าอยากให้ลงลึกในระดับไหน มาดูกันว่าต้องใช้อะไรบ้าง
1. จินตนากร    การคิดว่าสิ่งที่จะทำได้ทำสำเร็จไปแล้ว หรือเราเป็นคนใหม่ที่แก้ไขสิ่งเหล่านั้นแล้ว
                        เหมือนกันการ simulation หรือเขียน flow ไว้ล่วงหน้า
2. พูดกับต้วเอง  การพูดกับตัวเองบ่อยๆ ถึงสิ่งที่เราต้องการ และย้ำในทุกๆวัน จะทำให้เราเกิดความ
                            มั่นใจที่จะเอาชนะนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง และก้าวไปอีกขั้นได้
3. สร้างเงื่อนไข  เพื่อปรับเปลียนเงื่อนไขของการกระทำ เช่นบางคนเห็นคอมพ์ ไม่ได้ต้องเปิด พอเปิด
                           เสร็จก็ต้องเล่นเกมส์ facebook ฯลฯ โดยอัตโนมัติแบบหยุดไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้จักสร้าง
                           เงื่อนไขใหม่เช่น เห็นคอมพ์ ต้องดูนาฬิการก่อน หรือโปรแกรมแรกที่เปิดคือ ตารางงาน
                           ก็จะช่วยระงับแรงผลักดันอัตโนมัติเดิมๆ ได้
                            (เหมือนที่นักสะกดจิตใช้ กระดิ่งเป็นตัวโปรแกรม คนที่ถูกสะกดจิต)
4. คิดบวก        ตามกฏของแรงดึงดูด คิดดี ก็จะดึงสิ่งดีๆเข้ามา คิดร้ายก็จะได้สิ่งร้ายๆเช่นกัน สำคัญมาก
                        เพราะถ้าจินตนาการร้ายๆ ฝั่งในจิตแล้วมันจะเริ่มทำงานโดยอัติโนมัติทันที

ทีนี้ภาคปฏิบัติ มาลองดูกับนิสัยต่างๆ ที่เรามักจะเจอกันครับ

นิสัย ผลัดวันประกันพรุ่ง
    ประเภทงานเป็นกอง แต่ไม่สำนึกยังทำอย่างอื่นที่ไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอยู่เรื่อยๆ เช่นนัดส่งงานพรุ่งนี้เช้า มีเวลาตั้งแต่ บ่ายโมง ดันเล่นเกมส์ หรือ facebook จนถึงเที่ยงคืนแล้วค่อยเริ่มงาน อย่างนี้งานก็เสีย สุขภาพก็แย่
    ให้จินตนาการว่า งานที่เราต้องทำ ถ้าทำเสร็จแล้วจะให้ความสุขระดับไหนกับเรา จะได้รับคำชม และทำให้เรามีโอกาสเพิ่มขึ้นขนาดไหน ตามด้วยการปรับพฤติกรรมเปิดเครื่องมาปุ๊ป สิ่งแรกที่ต้องดูคือวันนี้มี Task ที่ต้องทำอะไรบ้าง (เกิดจากการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว)

นิสัย ชอบนินทา (ที่วัยรุ่นเค้าเรียกเมาท์มอย รึเปล่า)
     เป็นนิสัยส่วนใหญ่ของคน Office ซะด้วยไม่นินทาเพื่อน ก็เจ้านาย ผลเสียของการนินทาคือถ้าเกิดสิ่งที่เราพูดถูกนำไปอ้างอิงในภายหลัง อันนี้หละงานเข้าของจริง นอกจากไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แล้วอาจจะถูกเชิญไปทำงานที่อื่น หรือหมดโอกาสในการทำงานสำคัญๆ ไปตลอดเลยก็เป็นได้
     เวลาที่จะเริ่มคิดจะนินทาใคร ให้เปลี่ยนจากการมองแต่มุมไม่ดีของเค้า ให้ลองหาด้านที่ดีของคนนั้นๆ พอหักลบกลบหนี้แล้วคุณอาจจะรู้สึกชอบเค้าขึ้นมาแล้วก็ได้ (ประมาณเจอหน้าปุ๊ป หรือนึกถึงปุ๊ป ก็ให้คิดถึงเรื่องดีๆ ที่เค้าเคยทำไว้ก่อน) แล้วศัตรูใน office เราก็จะเริ่มหายไปที่ละคน เพราะเค้าได้กลายมาเป็นเพื่อนของเราไปแล้ว

นิสัย กินไม่เลือก
     อันนี้สิ่งที่ตามมาคือสุขภาพจะย่ำแย่ และโรคอ้วน โรคเบาหวาน ลำใส้อักเสป อาจจะถามหาเอาก็เป็นได้ เคยมีคำบอกไว้ว่า สิ่งที่คุณกินจะบ่งบอกความเป็นตัวคุณ ตามหลักแล้วถ้าเรารับสารอาหารเข้าไปมากกว่าที่ร่างกายต้องการ มันจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมโดยอัติโนมัติ ชักน่ากลัวแล้วละสิ
     ให้จินตนาการว่าเราเป็นคนสุขภาพดี และพิธีพิถันในการกิน อาหารทุกอย่างได้ผ่านการคิดล่วงหน้า และเมื่อเจอกับอาหารที่ไม่อยู่ในรายการ เราจะมองหารายการที่สามารถทดแทนอาหารเหล่านั้น หลีกเลี่ยงการกินอาหารเมนูเดิมซ้ำๆ แล้วคุณจะสนุกกับการวางแผนล่วงหน้า ว่าวันนี้จะรับอะไรดีๆเข้าร่างกายบ้าง บางคนหากินยากจริงๆ ลงทุนทำเอง จนกลายเป็นเชฟสมัครเล่นไปเลยก็มี

นิสัย ใช้เวลาเรื่อยเปื่อย
    เวลาทุกคนมีวันละ 24 ชั่วโมง หมดแล้ววันใหม่ก็ได้อีก 24 ชั่วโมง แต่สิ่งที่คุณจะไม่ได้ใหม่คือ โอกาสในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ เช่นบางคนใช้เวลาเล่นเกมส์ก่อนวันสอบ มาอ่านหนังสือก่อนสอบ 1 ชั่วโมงตอนที่สมองไม่รับคำสั่งแล้ว หรือมาอ่านหลังสอบก็ไม่มีประโยชน์
    จินตนาการว่าคุณเป็นคนที่ใช้เวลาคุ้มค่าที่สุดในโลก และเวลาของเรามีอยู่ไม่มาก (บางคนอาจจะคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้นะ แต่ออกจะแรงไปหน่อย) แล้วทุกๆ วินาทีของคุณจะยาวนานเป็นพิเศษแล้วสนุกกับการใช้เวลากับสิ่งที่คุณชอบและตั้งใจจะทำมัน

นิสัย ไม่ตรงเวลา
    นิสัยนี้มักเกิดจาก เรามองไม่เห็นความสำคัญของนัดหมาย หรือให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยไป เช่นเข้าประชุมช้าก็ได้ ไม่มีเราเค้าก็ประชุมกันไปก่อนได้ โดยจะเพาะเป็นนิสัยที่เคยตัว (โดยเฉพาะพี่ไทยเรา) ถ้าทำงานกับฝรั่งละก็ ชีวิตไม่รุ่งแน่นอน
     ให้เริ่มจากการจินตนาการว่าทุกนัดการประชุม หรือทุกนัดหมาย หมายถึงการไปพบกับโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต ทุกคนกำลังรอคอยการมาของคุณอยู่ เพราะคุณคือคนสำคัญและเป็นกำลังสำคัญของทีม แค่คุณเข้าประชุมตรงเวลาตลอด และไม่เคยผิดนัด ก็สามารถสร้างภาพลักษ์ที่ดีกับหัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน จนอาจถูกยกเป็นตัวอย่างก็เป็นได้ ที่นี้ละเขินเลยละสิ

นิสัย ไม่กล้าพูด
   บ่อยครั้งที่โอกาสดีๆ ผ่านเลยไปเพียงเพราะเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าตอบคำถามในห้องเรียน ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ไม่กล้าบอกรักกับคนที่เรารัก ฯลฯ เหตุผลเพราะกลัวสิ่งที่จะตามมา ทำให้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไป
   ให้คิดซะว่าถ้าคุณไม่พูดในตอนนี้ โอกาสนี้จะไม่ย้อนกลับมาอีก และอีก 5 ปี หรือ 10 ปี ต่อจากนี้เราจะเสียใจหรือไม่ที่ไม่ได้พูดมันออกไป และเราพร้อมแล้วที่จะรับผลรับของสิ่งที่เราพูดเพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราได้คิดและทำลงไป

...
   ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ แต่ละคนอาจจะมีวิธีในการจินตนาการ ไม่เหมือนกัน และเงื่อนไขของแต่ละคนที่จะทำให้การโปรแกรมจิต สำเร็จนั้นก็ไม่เหมือนกัน เช่นบางคนพอนึกถึงพ่อแม่แล้วก็จะไม่ทำสิ่งที่มันไม่ดี บางคนนึกถึงคนรัก บางคนนึกถึงลูก ...พูดกับตัวเองบ่อยๆ การย้ำแล้วย้ำอีกนั้นสำคัญ รวมถึงการคิดบวกอยู่เสมอ แล้วโลกใบนี้จะน่าอยู่มากขึ้นและเป็นเวทีของคุณ

สรุปนะ ^_^
จินตนาการ (คิดดี) -> พูดย้ำ (พูดดี) -> เงื่อนไข (ทำดี)-> ตัวฉัน (คนดี) ที่ดีกว่าเดิม

Aj.Bee

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

Google App Engine โฮสดีๆ สำหรับคอ Java

สำหรับผม งานสอนและงานฝึกอบรม ถือเป็นงานประจำ ซึ่งผู้เรียนส่วนมากก็มักจะถามมาเสมอว่า พอเขียน Java Web Application หรือพวก Mobile Web Application แล้วอยากลองกับ Host ที่มันสามารถ deploy ได้จะทำยังไงดี มีที่ไหนให้ใช้แบบฟรีๆ บ้าง

คำตอบ ที่ผมมักจะให้กลับไปคือ มันอยู่ใกล้ๆ ตัวคุณนั่นแหละแค่มี Account ของ Google (GMail) ก็สามารถใช้งานได้แล้ว โดยที่เข้าไปที่

https://appengine.google.com

แล้วทำการสร้าง Application ตามชื่อที่เราต้องการ (ถ้าไม่ซ้ำกับของชาวบ้านเค้านะ)
ส่วนการเตรียมตัวสำหรับคนที่เขียน Java อยู่แล้วก็ไม่ยุ่งยากครับเตรียมของตามรายการนี้ (เหมือนทำครัวเลย)
1. Java JDK (1.6.x หรือ 1.7.x แล้วแต่สะดวก)
2. eClipse 3.6 หรือสูงกว่า
3. appEngine SDK สามารถ download จาก site ข้างบน

ส่วนวิธีการลงไม่ขอพูดถึงนะครับ สามารถ search หาใน google โดยใช้ key "วิธีใช้ Google AppEngine" หรือใครที่ถนัดอ่าน tutorial ก็ตาม link นี้ได้เลย

 http://code.google.com/appengine/docs/java/gettingstarted/installing.html

    ข้อดีของการใช้ AppEngine คือมันอยู่บน cloud และเราสามารถใช้งานได้ฟรี (น่าจะสร้างได้ประมาณ 6 app) แต่จะ limit เรื่องของปริมาณการใช้งาน (เหมาะสำหรับการทดลอง หรือธุรกิจในตอนเริ่มต้น) โดยสามารถใช้บริการแบบเสียเงินเพิ่มเติมได้ กรณีที่มีการขยายตัวในอนาคต

   สำหรับ application ตัวอย่างทีทีมพัฒนาเค้าแนะนำให้ load ไปดูเป็นตัวอย่างคือ jsonengine ตัวนี้ใช้ JSON ก้บ HTML5 และ Servlet, JSP ในการเขียนทำให้ง่ายในการนำมาดัดแปลง วิธีการติดตั้งตามด้านล่างเลย

http://code.google.com/p/jsonengine/wiki/HowToInstall

การประยุกต์ใช้
1. ใช้เป็น demo site ให้กับลูกค้าแบบชั่วคราวได้ โดยการ deploy ทำได้ค่อนข้างง่ายผ่านทางคำสั่ง

appcfg.cmd update location/to/your/war/folder   *ที่อยู่ของ folder war

แค่นี้ัตัวโปรแกรมบนเครื่อง local เราก็จะ upload ขึ้นไปบน cloud server ของ gogle แล้ว

2. ใช้เป็น server สำหรับ mobile web application ที่ใช้ HTML5 และ JSON เป็นหลัก เนื่องจากส่วนใหญ่จะมี content ไม่เยอะ ทำให้สามารถรองรับการทำงานที่มีจำนวน ผู้ใช้ไม่มากได้ เช่นให้บริการกับร้านค้าขนาดเล็ก ระบบบัญชี online หรือ mobile website ขนาดเล็ก

3. ใช้สำหรับ บริการ content ให้กับ native mobile app ที่เขียนด้วยแพลตฟอร์ม Android หรือ iOS โดยเน้นที่การให้บริการข้อมูลที่เป็น JSON data ก็พอถูไถได้ แต่อาจจะ response ช้าหน่อย

สุดท้ายเป็น ตัวอย่าง Mobile Website ที่ผมเขียนเล่นๆ ใช้เป็นตัวอย่างตอนสอน โดยแอบดึง content จากรีสอร์ทแห่งหนึ่งในเชียงราย (ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไปในตัว) เขียนด้วย HTML5 + jQuery Mobile ลองเข้าไปชมกันดูนะครับ จะใช้ iPhone, iPad หรือ Android เข้ามาก็ได้ ^_^

http://mytasksample.appspot.com/hotel/

หวังว่าคงจะจุดประกาย และแก้ปัญหาสำหรับคนที่อยากลองให้ app ของตัวเองขึ้นบน internet ได้นะครับ

ของดี ของฟรี มีอยู่เยอะ เพียงแค่เราค้นหา เรียนรู้และใช้มันให้ถูกวิธี
Aj.Bee

ข้อคิดของการใช้เวลา

หลายครั้งที่ผมกลับมานึกทบทวนการใช้เวลาในแต่ละวัน ทำให้ได้คิดว่า สำหรับคนไอที เวลาส่วนใหญ่ของเราหายไปไหนกันบ้าง และทำอย่างไรจะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่และภาระหลายอย่าง ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องเรียน ทำงาน และดูแลครอบครัว ถ้าอยากมีชีวิตที่มีความสุข และพอเพียงต้องทำอย่างไร ลองมาช่วยวิเคราะห์กันดูนะครับ เผื่อจะได้อะไรดีๆ และนำไปปรับใช้ ผมขอแยกตามแต่ละหน้าที่ที่ทุกคนที่อายุตั้้งแต่ 18ปี ขึ้นไปพึงมี

เวลากับ เรื่องส่วนตัว
    ตัวนี้นับรวมหมด คือเวลาที่เราให้กับตัวเองตั้งแต่ การกิน การนอน การออกกำลัง งานอดิเรก คนไอทีส่วนใหญ่จะใช้เวลาพวกนี้ไม่ค่อยสมดุลย์ คือ กินไม่เป็นเวลา หรือกินอาหารโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์หรือโทษที่จะได้รับ  นอนน้อย ใช้เวลาไปกับเรื่องสัพเพเหระบนหน้าจอ  ออกกำลังน้อยหรือเห่อเป็นช่วงๆ ตามเพื่อนๆที่ office หรือคนรอบข้าง งานอดิเรกส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเล่นเกมส์ ดูหนังฟังเพลง รวมถึงการเล่นเกมส์บนมือถือและอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งอาจจะนำมาด้วยปัญหาทางสายตาและโรคปวดล๊อกอื่นๆ
   ทางแก้ ให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณกิน เพราะสิ่งที่คุณกิน คือสิ่งที่จะบ่งบอกตัวคุณ แล้วสุขภาพทีดีจะตามมาเอง ...นอนให้เพียงพอ คำว่าเพียงพอของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันบางคนแค่ 4 ชม. ก็พอ บางคนต้องการถึง 8 ชม. แต่พยายามให้อยู่ในช่วง 22.00 - 06.00 เนื่องจากเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ...การออกกำลัง ถ้ามีเวลาไม่เยอะก็ทำที่บ้านได้ ยึดพื้น ทำงานบ้าน เล่นกับเด็กๆ ออกกำลังกับกลุ่มเพื่อน และควรมีความสม่ำเสมอ ... งานอดิเรก ควรเป็นงานที่สร้างสรรค์ และเป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ ไม่ใช่หมกมุ่น ไม่ได้ตามกระแส บางครั้งอาชีพใหม่ๆ เกิดจากมุมมองของงานอดิเรกนี่เอง ได้ทำสิ่งที่ชอบด้วย ได้เงินด้วย อะไรจะสุขเท่านี้อีก

เวลากับ เรื่องเรียน
    ในวัยนักเรียน หรือนักศึกษา บางคนไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ แล้วก็มาตัดพ้อตอนใกล้ๆ จบ กับตอนที่เริ่มหางานทำ ว่าทำไมงานมันหายากจัง ...หลายคนคิดว่าการเรียนคือการนั่งเรียนอยู่ในห้อง นั่งฟังครู หรืออาจารย์สอน (อย่างทรมาน มองนาฬิกาตลอดเมื่อไหรจะหมดคาบ) หารู้ไม่ว่าการเรียนรู้ สามารถทำได้ทุกที่ สิ่งที่เราพบเห็น สิ่งที่สัมผัส การได้พบปะพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ การได้เดินทางดูงาน สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งสิ้น ส่ิ่งที่เรารู้จะเป็นตัวกำหนดชีวิตและวิธีคิดของเรา รวมถึงอนาคต การงาน และอีกหลายๆอย่าง ดังนั้นควรใช้เวลาเรียนอย่างฉลาดกันนะครับ


เวลากับ การทำงาน
   เค้าว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข คงไม่เกินจริง แต่หลายคนหลงทางไปก็มีเยอะ ไม่เป็นพวกที่ทำงานแบบขอไปทีให้มันพ้นไปวันๆ ยังไงเค้าก็ไม่ไล่ออก อย่างนี้ก็หาความเจริญยาก ...อีกพวกก็สุดขั้ว ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่มีเวลาให้ครอบครัว และการดูแลสุขภาพ สุดท้ายก็มาเสียใจกับช่วงชีวิตที่ขาดหายไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นอนอยู่โรงพยาบาล โดยมีคนที่รักคุณคอยดูแลอยู่ข้างๆ ... ส่งที่ผมจะบอกคือถึงแม้การทำงานหนัก ไม่เคยทำให้ใครตาย แต่ก็ควรอยู่บนความพอดี แบ่งเวลาให้เหมาะสม รู้จักการจัดลำดับความสำคัญ ความหนักเบาของปัญหา รวมถึงการรู้จักถ่ายทอดและกระจายงานให้กับคนที่เค้าสามารถจะช่วยเราได้ เชื่อผมเถอะ เงินและตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการที่สุดในชีวิตหรอก

เวลากับ ครอบครัว
   มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และครอบครัวถือเป็นสังคมที่เล็กที่สุด และใกล้ชิดที่สุดสำหรับเราๆ เพราะไม่มีใครที่จะห่วงใย และคอยดูแลเรา ได้มากเท่าครอบครัวแล้ว สำหรับคนที่อยู่กับพ่อแม่ ในแต่ละวันคุณพูดกับท่านวันละกี่คำ รู้รึเปล่าว่าท่านชอบทานอะไร ชอบดูละครเรื่องไหน หรืออยากได้อะไรในวาระพิเศษ ...คนที่มีครอบครัวและลูกๆ ยิ่งควรให้เวลากับครอบครัวให้มากเพราะการที่เด็กจะเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ ต้องมาจากการดูแลเอาใจใส่อย่างเพียงพอ ไม่ใช่แค่การยัดเยียดเทคโนโลยี การ์ตูน ทีวี ให้ดูแล้วไปทำอย่างอื่น อย่างนี้เค้าไม่เรียกว่าเป็นการดูแล แต่เป็นการผลักภาระให้พ้นตัว เด็กๆจะซึมซับสิ่งที่เค้ารับรู้ในวัยเด็กได้ดีมาก ดังนั้นพึงระวังถ้าปล่อยให้เด็กอยู่กับสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป กว่าที่เราจะรู้ว่าพวกเค้าเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดไหน อาจจะสายเกินแก้ก็ได้ การกอด การพูดคุย แม้กระทั่งการสอนการบ้าน การทำงานอดิเรกร่วมกันทั้งครอบครัว การไปทานข้าวนอกบ้าน ปิคนิค ทำสวน พยายามสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้เค้าได้จดจำ นั่งดูทีวีและแนะนำรายการดีๆให้เค้าดู แล้วคุณจะพบว่าการสร้างครอบครัวที่มีความสุขนั้น ไม่ยากเกิน

เวลากับ เพื่อนๆ และสังคม
   เพื่อนสนิทคุณมีกี่คน คนที่จะพูดคุยแบบเปิดใจกันได้ คนที่ใช้ภาษาบรรพบุรุษ คุยกันได้ ...เพื่อนไม่จำเป็นต้องมีเยอะ แต่ขอให้มีเพื่อนสนิทไว้บ้าง การเข้าสังคมก็เป็นสิ่งจำเป็นเพราะจะเป็นประตูให้เราไปพบกับเพื่อนใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ หลายครั้งที่ผมได้งาน ได้โอกาสดีๆ จากการเข้าสังคม ทำกิจกรรมใหม่ๆ ทำให้วงกลมของเราขยายขึ้น และมีโครงข่ายที่แข็งแรงซึ่งเป็นรากฐานที่ดีในอนาคต ถ้าคุณต้องการจะประกอบธุรกิจต่างๆ


คำว่าพอดี และพอเพียง ยังคงใช้ได้เสมอ ผมไม่ขอกำหนดเป็นตัวเลขว่าควรจะใช้เวลากับส่วนไหนกี่ชั่วโมงต่อวัน เพราะแต่ละคนจะให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่คุณเลือก แต่สุดท้ายต้องอยู่บนความพอดี

ใช้เวลาอย่ารู้ค่า พาชีวีเป็นสุขครับ
Aj.Bee