วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

ยุคนี้ถ้าไม่ App แบ้วแล้วจะ App อะไรดี??

เจอมาเยอะ เจ็บมาเยอะ (พี่สมจิตเค้า) เขียนโปรแกรมไว้ขึ้นหิ้ง ไม่มีใครใช้ ไม่มีใครโหลด ไม่เว้นแม้กระทั้ง App ใหญ่ๆ ฟีเจอร์เจ๋งๆ คนเขียนก็เทพ concept ก็สุดยอด ทำไมมันขายไม่ออกหว่า (อันนี้น่าคิด เพราะถ้ามันไม่เกี่ยวกับหน้าตาขอคนเขียน มันต้องมีสาเหตุ)

ความแตกต่างระหว่าง Project กับ Product
   ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Application มันแบ่งได้หลายแบบ แต่ถ้าจะให้เกี่ยวเป็นเรื่องเดียวกันผมขอแบบตามที่มาของ Requirement
  • Project  ส่วนใหญ่จะมี requirement ที่ชัดเจน โจทย์มาจากลูกค้า หรือผู้ว่าจ้าง ผู้ใช้จะเป็นเฉพาะกลุ่ม หรือเฉพาะธุรกิจ ที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร หรือปรับปรุงบริการให้กับลูกค้า ตัวอย่างเช่น ระบบ บัญชี , ERP, CRM เป็นต้น
  • Product  เป็นสิ่งที่สร้างจากสมมติฐาน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะอย่างเหมือนกัน แต่โดยมากมาจากการคาดเดาความต้องการ หรือจากการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น พวก App บน Mobile ส่วนใหญ่ที่เปิดให้ download , พวก Software สำเร็จรูป อย่างพวก MS.Office โปแกรมแต่งรูป (ซึ่งบางครั้งมันอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานทั้งหมดของคุณ ทำได้อย่างเดียวคือการ update version)
คุณเข้าใจความต้องการของผู้ใช้จริงเหรอ???
    ผมจะไม่พูดเรื่องของ Project นะครับ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นระดับองค์กร และมีทีมงานขนาดใหญ่สำหรับพัฒนาระบบ กลุ่มเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้
    ถ้าคุณต้องการสร้าง Product หรือ Application เพื่อที่จะขาย โดยเฉพาะขายให้กับคนหมู่มาก ก็ต้องมามองกลุ่มผู้ใช้ให้ออกก่อนว่าเป็นใคร การใช้งานเป็นรูปแบบส่วนบุคคล กลุ่มคน องค์กร หรือกลุ่มสังคม ซึ่งแต่ละรูปแบบ ก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก บางคนคิดแค่ว่าอยากเขียน อยากทำ แต่ไม่รู้ว่าจะมีใครมาใช้ด้วยรึเปล่า นั่งทำไป 2 เดือน โปรแกรมเสร็จ ไม่มีใครเอาไปใช้ (มองในแง่ดีคือได้ประสบการณ์ ... แต่ถ้าได้เงินด้วยมันจะไม่ดีกว่าเหรอ??)
    บางอย่างเราพยายามยัดเยียดเทคโนโลยี ขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน สีสันที่ดึงดูด ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ปัญหาของพวกเค้าได้รับการแก้ไข

ปัญหาคืออะไร ทำยังไงถึงจะมีปัญหา
   ถ้าใครที่เรียนสาย Com.Eng หรือ Com.Sci หรือสาขาอื่นๆ ที่ต้องทำ Senior Project ก็จะรับทราบข้อนี้เป็นอย่างดี บางคนคิดแค่ว่าตอนนี้เขียนอะไรได้ ทำอะไรเป็น แล้วค่อยคิดหัวข้อตามนั้น (ใช่แล้วครับ มันเหมือนกับการคิดหัวข้อโปรเจ็คจบนั่นแหละ) ถ้าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆกับชาวโลกเลย ก็เปล่าประโยชน์ที่จะทำ มาลองดูว่าปัญหาอะไรบ้างที่ควรได้รับความสนใจ (แค่ยกตัวอย่างให้ดูนะครับ)
  • ปัญหาส่วนตัว    เช่น บัญชีส่วนบุคคล, รายการที่ต้องทำ, บันทึกประจำวัน 
  • ปัญหาของกลุ่ม เช่น การสื่อสารภายใน, การกำหนดนัดหมาย, การประชุมย่อย
  • ปัญหาองค์กร    เช่น การจัดการบุคคล, สื่อสารองค์กร, ประชาสัมพันธ์, จัดการลูกค้า
  • ปัญหาสังคม      เรียกได้ว่าเป็นปัญหาของคนหมู่มากก็ได้ เช่นการสื่อสาร สิ่งแวดล้อม
   เมือได้ปัญหาแล้วค่อยมาวิะเคราะห์ดูว่า เรามีศักยภาพพอที่จะแก้ปัญหานั้นด้วยโปรแกรมได้หรือไม่ ต้องใช้กำลังและทรัพยากรอะไรบ้าง บางครั้งปัญหาก็อาจจะเกิดจากการแก้ปัญหาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ เช่น

ข้อมูลอยู่คนละที่-> นำมาขึ้น Internet -> สร้างระบบค้นหา (Google)  -> ได้ผลการค้นหาแล้ว ข้อมูลก็ยังเยอะและไม่อยู่ใน 10 อันดับแรกที่เราต้องการ

อีกตัวอย่างหนึ่ง
อยากมีเพื่อนเยอะๆ -> social network -> มีเพื่อนเยอะละ -> อยากกันเพื่อนเป็นกลุ่มๆ
ส่งข้อความธรรมดาไม่สวย -> ระบบ Sticker, Emo -> มี Sticker เยอะเกิน หาไม่เจอ (ฮา)

  วิธีการฝึก ให้พยายามมองทุกอย่างรอบตัวเรา ในแง่มุมของปัญหาที่เกิดขึ้น คิดวิธีแก้ปัญหาหลายๆวิธี เลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และสภาพเศรษฐกิจ เช่น ไปกินข้าวร้านประจำ เอ๊ะทำไมสั่งตั้งนานยังไม่ได้ซักที??? ... รถติดจัง??? ... จะไปทันมั้ยเนี้ย??? ... หรืออาจจะมาจากความไม่สะดวกส่วนตัว เช่น อยากได้ผู้ช่วยเวลาคิดหัวข้อแล้วมันไปค้นแล้วสรุปโดยเทียบกับ profile หรือพฤติกรรมของเรา พร้อมกับดึงข้อมูลทุ้งหมดมาแบ่งเป็นหมวดหมู่มาให้เลย???  มองทุกอย่างให้ลึกถึงปัญหาแล้วหาวิธีแก้อย่างสร้างสรรค์

สนใจชาวโลกบ้างก็ดี เค้าเดือดร้อนอะไรกัน เงินมันมาทีหลัง
   บางครั้งปัญหาที่เราพบก็อาจจะกลายเป็นปัญหาสารธาณะ (ของชาวโลก) ก็เป็นได้ และถ้าคุณมีวิธีแก้ไขที่ดีพอ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก ถึงเวลาอาจจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ชั่วข้ามปี ก็เป็นได้ ตัวอย่าง
  • อยากพูดคุยและแชร์ความรู้สึกกับเพื่อน -> Facebook
  • อยาก chat มันส์ ๆ หรือส่งข้อความโดยไม่ต้องเสียตังค์ -> LINE
  • อยากเก็บข้อมูลแล้วเข้าถึงจากที่ไหนก็ได้ -> Dropbox
  • อยากค้นข้อมูลของทั้งโลก -> Google
  • อยากเพิ่มช่องทางขายหนังสือ -> Amazon
  • อยากแชร์วิดีโอให้ครอบครัวกับเพื่อนๆดู -> Youtube
   ตัวอย่างที่ list มาเป็นบริษัทที่ทำรายได้ต่อปีอยู่ในอันดับต้นๆ รวมถึงบริษัทหน้าใหม่ที่เริ่มจากแนวคิด ความต้องการในการแก้ปัญหา แต่พอดีว่ามันไปตรงกับคืนอื่นๆ อีกหลายล้านคนทั่วโลก บวกกับระบบการทำเงินในลักษณะของการโฆษณา และการแบ่งรายได้ที่ฉลาดขึ้น ทำให้ตอนนี้ นับเงินกันไม่ทันเลยทีเดียว (ตอนเริ่มต้นอย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องเงิน หรือการยอมรับ เพราะอาจจะทำให้ท้อและล้มเลิกกลางคันได้ ให้ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ เดินอย่างมั่นคงทีละก้าว แล้วความสำเร็จจะตามมาเอง)

ที่ว่าดี นะดีจริงเหร้อออ
   ข้อเสียของ นักพัฒนาส่วนใหญ๋คือการเชื่อมันในตัวเองสูงเกิ้นนน คิดว่าที่ตัวเองคิดนี่ ที่สุดของที่สุดแล้ว จึงละเลยการไปศึกษาของชาวบ้านเค้า ว่าเค้าทำกันไปแล้วรึยัง เค้าแก้ปัญหายังไง กลุ่มผู้ใช้เป็นใคร ถ้าเหมือนกับของเรา เราจะทำให้ดีกว่าเค้าได้ยังไง ซึ่งบางครั้งการพูดคุยกับผู้รู้ กับเพื่อนๆ หรือคนที่อยู่ทั้งในวงการ และนอกวงการ ก็จำเป็น รวมถึงบางครั้งอาจจะต้องมองถึงแหล่งทุน วิธีการสร้างรายได้จากสิ่งที่คุณคิดและทำมันขึ้นมา

ผมจะไม่บอกว่าช่วงนี้ควรทำ App อะไรดี เพราะแต่ละช่วงจังหวะมันไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือการมองล่วงหน้าไปยังอนาคต เกาะกุมช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่สำคัญคือคิดและวิเคราะห์ให้ดี ก่อนที่จะทำ เพราะทุกวินาทีของคุณมีค่า ถ้าเลือกได้ทำของที่มันมีประโยชน์กับชาวโลกเค้าจะดีกว่านะ ^_^

Aj.Bee

1 ความคิดเห็น: